“สุริยะใส” ควงทนายพร้อมหอบหลักฐานเข้าแจ้งความดำเนินคดี “สมศักดิ์ โกศัยสุข” หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ หมิ่นประมาทยักยอกเงินระดมทุนพรรค 6.5 แสนบาท ยันมีหลักฐานชี้แจงความบริสุทธิ์ได้ ชี้ รอยร้าวครั้งนี้ยากที่จะประสาน เพื่อร่วมกันทำงานต่อไปได้
วันนี้ (3 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ กองปราบปราม นายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 39 ปี เลขาธิการและกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ รองผบก.ป.เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยนำหนังสือร้องทุกข์ สำเนาภาพข่าวเอเอสทีวีผู้จัดการ วันที่ 19 พฤษภาคม 2554 และเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้ประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
นายสุริยะใส กล่าวว่า เหตุที่ต้องร้องทุกข์กล่าวโทษครั้งนี้แยกเป็น 2 กรณี คือ 1.สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ กล่าวหาว่า ตนยักยอกเงินระดมทุนของพรรคการเมืองใหม่ จำนวน 650,000 บาท ทั้งที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการจัดระดมทุนเพื่อหาเงินมาสนับสนุนพรรค และได้ประมวลสรุปการดำเนินการชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคไปแล้ว โดยมีพยานหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงิน ยอดจำนวนบัตรที่จำหน่ายได้และไม่ได้ พร้อมกับยอดการคืนเงินอย่างชัดเจน และ 2.นายสมศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า ตนได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคไปแล้ว แต่จริงๆ ตนยังมีตำแหน่งดังกล่าวอยู่ และไม่เคยยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด ซึ่งกรณีนี้สามารถสอบถามจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ตนยังเป็นเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่อยู่หรือไม่
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า การปล่อยข่าวครั้งนี้ เพราะต้องการให้ตน และกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมาก ซึ่งได้ยื่นหนังสือต่อ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้ระงับการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ เนื่องจากหัวหน้าพรรคฝ่าฝืนนโยบาย และข้อบังคับของพรรคนั้นไม่เกิดผล เพราะหากตนพ้นจากตำแหน่งแล้ว กรรมการบริหารพรรคก็จะเหลือจำนวน 9 คนเท่ากัน อย่างไรก็ดี หาก นายสมศักดิ์ ยังกล่าวเท็จในประเด็นใดอีกตนก็จะแจ้งความร้องทุกข์อีก
“ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างน้อยอยากให้มีการลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่กรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมากควรให้เว้นวรรค รณรงค์ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโหวตโน จึงเป็นประเด็นที่ กกต.หรือนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องวินิจฉัยว่า การดำเนินการของพรรคการเมือง ที่มีหัวหน้าพรรคฝ่าฝืนมติกรรมการบริหาร รวมทั้งข้อบังคับพรรคการเมืองสามารถทำได้หรือไม่ เพื่อเป็นบรรทัดฐาน และหากทำได้ก็จะทำให้พรรคการเมืองเกิดความอ่อนแอ” นายสุริยะใส กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงความขัดแย้งกับนายสมศักดิ์ ในขณะนี้ถึงขั้นไหน นายสุริยะใส กล่าวว่า คงอยู่ในจุดที่คุยกันไม่ได้ แม้ว่าตนจะรู้จักกับนายสมศักดิ์ มานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ นายสมศักดิ์ เปลี่ยนไป ซึ่งมีความดื้อดึง และความเห็นที่ขัดแย้ง ไม่สอดคล้องกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งไม่เหมือน นายสมศักดิ์ คนเดิม จึงต้องมาร้องทุกข์กล่าวโทษด้วยตนเอง เพื่อหยุดพฤติกรรม นายสมศักดิ์ ที่ยังฝืนมติของพรรค
นายสุริยะใส กล่าวถึงกระแสการรณรงค์โหวตโน ว่า มีการเผยแพร่ข้อมูลไปยังประชาชนเพื่อให้เห็นประโยชน์ของการโหวตโน ซึ่งแม้บางคนอาจจะดูถูก แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะดำเนินการไป จะกระจายการขึ้นคัตเอาต์ไปทั่วประเทศ เพราะบรรยากาศการเลือกตั้งขณะนี้เราก็เห็นแล้วว่าอาจนำไปสู่ความรุนแรงรอบใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีพรรคการเมืองไหนพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการเมือง กลายเป็นประเด็นเดิมๆ ซึ่งเป็นเรื่องเอาหรือไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนคิดว่าเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ทางการเมือง โดยตนคิดว่า หลังจากเลือกตั้งเสร็จสิ้นคงหลีกหนีความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอีกไม่ได้ แต่การโหวตโนนั้น หากมีจำนวนมากพอก็อาจส่งผลให้เกิดการปฏิรูปการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น
ขณะที่ พ.ต.อ.อภิชาติ ได้รับเรื่องไว้ พร้อมกับมอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.สอบปากคำผู้ร้องไว้ในเบื้องต้น ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
วันนี้ (3 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ กองปราบปราม นายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 39 ปี เลขาธิการและกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ รองผบก.ป.เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยนำหนังสือร้องทุกข์ สำเนาภาพข่าวเอเอสทีวีผู้จัดการ วันที่ 19 พฤษภาคม 2554 และเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้ประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
นายสุริยะใส กล่าวว่า เหตุที่ต้องร้องทุกข์กล่าวโทษครั้งนี้แยกเป็น 2 กรณี คือ 1.สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ กล่าวหาว่า ตนยักยอกเงินระดมทุนของพรรคการเมืองใหม่ จำนวน 650,000 บาท ทั้งที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการจัดระดมทุนเพื่อหาเงินมาสนับสนุนพรรค และได้ประมวลสรุปการดำเนินการชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคไปแล้ว โดยมีพยานหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงิน ยอดจำนวนบัตรที่จำหน่ายได้และไม่ได้ พร้อมกับยอดการคืนเงินอย่างชัดเจน และ 2.นายสมศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า ตนได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคไปแล้ว แต่จริงๆ ตนยังมีตำแหน่งดังกล่าวอยู่ และไม่เคยยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด ซึ่งกรณีนี้สามารถสอบถามจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ตนยังเป็นเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่อยู่หรือไม่
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า การปล่อยข่าวครั้งนี้ เพราะต้องการให้ตน และกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมาก ซึ่งได้ยื่นหนังสือต่อ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้ระงับการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ เนื่องจากหัวหน้าพรรคฝ่าฝืนนโยบาย และข้อบังคับของพรรคนั้นไม่เกิดผล เพราะหากตนพ้นจากตำแหน่งแล้ว กรรมการบริหารพรรคก็จะเหลือจำนวน 9 คนเท่ากัน อย่างไรก็ดี หาก นายสมศักดิ์ ยังกล่าวเท็จในประเด็นใดอีกตนก็จะแจ้งความร้องทุกข์อีก
“ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างน้อยอยากให้มีการลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่กรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมากควรให้เว้นวรรค รณรงค์ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโหวตโน จึงเป็นประเด็นที่ กกต.หรือนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องวินิจฉัยว่า การดำเนินการของพรรคการเมือง ที่มีหัวหน้าพรรคฝ่าฝืนมติกรรมการบริหาร รวมทั้งข้อบังคับพรรคการเมืองสามารถทำได้หรือไม่ เพื่อเป็นบรรทัดฐาน และหากทำได้ก็จะทำให้พรรคการเมืองเกิดความอ่อนแอ” นายสุริยะใส กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงความขัดแย้งกับนายสมศักดิ์ ในขณะนี้ถึงขั้นไหน นายสุริยะใส กล่าวว่า คงอยู่ในจุดที่คุยกันไม่ได้ แม้ว่าตนจะรู้จักกับนายสมศักดิ์ มานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ นายสมศักดิ์ เปลี่ยนไป ซึ่งมีความดื้อดึง และความเห็นที่ขัดแย้ง ไม่สอดคล้องกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งไม่เหมือน นายสมศักดิ์ คนเดิม จึงต้องมาร้องทุกข์กล่าวโทษด้วยตนเอง เพื่อหยุดพฤติกรรม นายสมศักดิ์ ที่ยังฝืนมติของพรรค
นายสุริยะใส กล่าวถึงกระแสการรณรงค์โหวตโน ว่า มีการเผยแพร่ข้อมูลไปยังประชาชนเพื่อให้เห็นประโยชน์ของการโหวตโน ซึ่งแม้บางคนอาจจะดูถูก แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะดำเนินการไป จะกระจายการขึ้นคัตเอาต์ไปทั่วประเทศ เพราะบรรยากาศการเลือกตั้งขณะนี้เราก็เห็นแล้วว่าอาจนำไปสู่ความรุนแรงรอบใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีพรรคการเมืองไหนพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการเมือง กลายเป็นประเด็นเดิมๆ ซึ่งเป็นเรื่องเอาหรือไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนคิดว่าเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ทางการเมือง โดยตนคิดว่า หลังจากเลือกตั้งเสร็จสิ้นคงหลีกหนีความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอีกไม่ได้ แต่การโหวตโนนั้น หากมีจำนวนมากพอก็อาจส่งผลให้เกิดการปฏิรูปการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น
ขณะที่ พ.ต.อ.อภิชาติ ได้รับเรื่องไว้ พร้อมกับมอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.สอบปากคำผู้ร้องไว้ในเบื้องต้น ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
