"ไอ้ตู่"นอนคุก พอแค่เริ่มต้น

รวม 11 วันเต็ม สำหรับการเข้าไปใช้ชีวิตในคุกของ"จตุพร พรหมพันธุ์"จำเลยก่อการร้าย หลังจากก่อนหน้านี้ เขาคือ จำเลยแกนนำแดง 1 เดียว ที่ได้รับเอกสิทธิ์ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติคุ้มหัวในระหว่างสมัยประชุม ครั้งเขายังเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยที่ตัวเขาเอง ก็ไม่เคยคาดคิดไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ตัวตนของเขาจะต้องไปนอนอยู่ในคุก ในตะราง ในยามที่เพื่อนๆแกนนำคนอื่นๆออกจากคุก ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่ถือเป็นเวลาอันสำคัญยิ่ง ของพรรคเพื่อไทย

หากพูดว่า การเข้าไปใช้ชีวิตในคุกของ"จตุพร พรหมพันธุ์"เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ก็คงไม่ผิดเพี้ยน เพราะหากไปนับรวมคดีความของ"จตุพร"ที่อยู่ในชั้นศาล ถือว่ามีอีกหลายคดี โดยที่ยังไม่รวมคดีที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอ คือกรณี"หมิ่นเบื้องสูง"ที่ถือเป็นประเด็นสำคัญทำให้เขาถูกถอนประกันและส่งตัวเข้าคุก ถือว่าไม่ธรรมดา

สำนวนแรก :คดีหมายเลขดำ อ. 1962/2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐาน หมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332

กรณี เมื่อวันที่ 10 พ.ค.52 นายจตุพร ได้ปราศรัยใส่ความว่า รัฐบาลชุดนี้เขาไม่ได้ชั่วช้าหรอกครับ เขาเป็นรัฐบาลที่ชั่วเลวที่สุดล้วนแต่เป็นรัฐบาลภายใต้ทรราชฟันน้ำนมคนนี้ทั้งสิ้น และโจทก์เป็นคนสั่งทหารให้ไปยิงประชาชน โจทก์เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน ใส่ร้ายประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดง โจทก์จะต้องถูกประหารชีวิต ข้อหาฆ่าคนตาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียงอย่างมาก เหตุเกิดที่แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.คดีนี้ ศาลอาญา ประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 17 ส.ค.52 คดีอยู่ระหว่างกำหนดวันนัดสืบพยาน

สำนวนที่ 2 : คดีหมายเลขดำที่ อ.404/2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ฟ้องนายจตุพร ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 13 ม.ค.52 นายจตุพร แถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทย กล่าวหานายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี กระทำการมิบังควรตีตนเสมอพระเจ้าแผ่นดิน โดยนั่งเก้าอี้เทียบเสมอพระเจ้าแผ่นดินในการถวายรายงานราชการ

ระหว่างการสืบพยาน 17 ธ.ค.53 นายจตุพร จำเลย ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลเริ่มพิจารณาใหม่ อ้างว่าผู้พิพากษามีข้อพิพาทตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 11(6) ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการคัดค้านผู้พิพากษา ซึ่งปรากฏว่าผู้พิพากษาคดีนั้นมีข้อพิพาทกับคู่ความ โดยกรณีสืบเนื่องจากที่นายจตุพร ยื่นฟ้องนายสมศักดิ์ วงศ์ยืน ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ต่อมา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนได้ขอถอนตัวออกจากการพิจารณาคดี ศาลอนุญาตให้ฝ่ายจำเลยเสนอบัญชีพยานเพิ่มเติม ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างสืบพยานจำเลย

สำนวนที่ 3 : คดีหมายเลขดำที่ อ.1962/2552 นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ฟ้องนายจตุพร ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 10 พ.ค.52 นายจตุพร ได้ขึ้นเวทีปราศรัย นปช. ที่บริเวณวัดไผ่เขียว ย่านดอนเมือง กล่าวหานายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ฆาตกรมือเปื้อนเลือด สั่งทหารฆ่าประชาชน คดีอยู่ระหว่างขั้นตอนการนัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันสืบพยาน

สำนวนที่ 4 : คดีหมายเลขดำ อ.1008/2553 นายอภิสิทธิ์ ฟ้องนายจตุพร ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 29 ม.ค. - 15 ก.พ.53 จำเลยกล่าวปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดง และประชาชนที่รับชมผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องพีเพิล แชนแนล ใส่ความโจทก์ทำนองว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่สั่งฆ่าประชาชน และหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร คดีนี้ อยู่ระหว่างการนัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันสืบพยาน

โดยสำนวนคดีทั้งหมด ถือว่า การต่อสู้คดีในช่วงที่เขาเป็น ส.ส.อยู่นั้น"จตุพร พรหมพันธุ์"ได้ใช้สิทธิสู้คดีในทุกรูปแบบ เช่น ยื่นฟ้องผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ขอเปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษา จนทำให้ทุกสำนวนคดีความ ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ ต้องยกเลิกวันพิพากษาออกไป จนบางครั้ง หลายคนเกิดอาการหวาดหวั่นว่า "สิทธิของจตุพร"ทำให้ศาลเสื่อมหรือไม่

ส่วนที่เขาถูกถอนประกันในคดีก่อการร้าย และส่งตัวเข้าจองจำในคุก เป็นเพียงการนับหนึ่งชีวิตในคุก เพราะเขายังมีคดีหมิ่นเบื้องสูง ที่ผลการกระทำถือว่า ผิดชัดเจน ส่วนคดีหมิ่นประมาท"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"ทั้ง 4 สำนวน ก็มีแนวโน้มสูง ที่จะจบลงด้วยการถูกพิพากษาโทษ หลังศาลเปิดโอกาสให้เขาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว นอกเสียจาก พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลและออกกฎหมายนิรโทษกรรมสถานเดียว