ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนประหารสถานเดียว “สมยุทธ” อบต.ราชาเทวะ จ้างวานฆ่าแกนนำต่อต้านโครงการบ่อขยะราชาเทวะ ปี 44 ขณะที่มือยิง-คนขี่รถก่อเหตุ โทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคนติดต่อ ศาลอุทธรณ์แก้ลดโทษคุกตลอดชีวิต คงเหลือ 33 ปี 4 เดือน
วันนี้ (19 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ ด.373/2546 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 และ นายนครินทร์ วงศ์ปิยะสถิตย์ กับ ด.ช.กฤษฎ์ วงศ์ปิยะสถิต โดย นางธีรนุช วนะโพธิ์ ผู้แทนโดยชอบธรรม ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง ส.อ.สมเกียรติ์ หรือ เกียรติศักดิ์ หรือ จ่าศักดิ์ คงคามี อดีตทหารสังกัดศูนย์การบินทหารบก จำเลยที่ 1 ผู้ติดต่อหามือปืน, นายเสรี หรือ เล็ก กล่ำฉนวน มือปืน จำเลยที่ 2, นายประจักษ์ หรือ จักร สินพรม ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ก่อเหตุ จำเลยที่ 3, นายสมยุทธ หรือ ปุ๊ พุ่มภักดี สมาชิก อบต.ราชาเทวะ จำเลยที่ 4 ผู้จ้างวาน และ นายสมชาย หรือหลุบ ยอดย้อย จำเลยที่ 5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, ใช้ จ้างวานให้ฆ่าผู้อื่น และกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ กรณีร่วมกันฆ่า นายสุวัฒน์ วงศ์ปิยะสถิตย์ แกนนำต่อต้านบ่อกำจัดขยะ ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.44
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1-3 และ 5 ไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 4 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว ขณะที่ ส.อ.สมเกียรติ จำเลยที่ 1 เจ้าหน้าที่เรือนจำบางขวาง ได้มีหนังสือแจ้งต่อศาล ว่า ได้เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.53 ส่วน นายเสรี จำเลยที่ 2 ถูกย้ายไปเรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 11 ม.ค.54 ที่ผ่านมา
โดยจำเลยยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ ได้ประชุมหารือตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 4 เป็น สมาชิก อบต.ราชาเทวะ ส่วนห้างหุ้นส่วน ไพโรจน์สมพงษ์ พาณิชย์ จำกัด เป็นผู้รับจ้างกำจัดขยะจาก กทม.ตั้งแต่ ปี 2542 ที่ให้นำขยะไปฝังกลบบริเวณที่ทิ้งขยะเนื้อที่ 200 ไร่ ต.ราชาเทวะ ซึ่งผู้ตายกับพวกที่พักอาศัยในหมู่บ้านจามจุรี ได้ร้องเรียนต่อต้านการฝังกลบขยะดังกล่าว แล้วเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.44 มีคนร้าย 2 คนสวมหมวกนิรภัย ขี่รถจักรยานยนต์ยิงผู้ตาย 3 นัด ที่ศีรษะ ขากรรไกร และ แผ่นหลัง ขณะนั่งพูดคุยอยู่ที่ร้านขายของชำในหมู่บ้าน ต่อมาวันที่ 15 พ.ย.45 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม จำเลยที่ 1-4 ได้ ส่วนจำเลยที่ 5 จับกุมได้ในวันที่ 4 ธ.ค.45 โดยจำเลยที่ 1-3 และ 5 รับสารภาพ ต่อมาจำเลยที่ 1 เสียชีวิต ก็ให้จำหน่ายคดีออกจาดกสารบบความ
คดีนี้จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2-5 มีความผิดตามพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างจดจำใบหน้าจำเลยที่ 2 ได้ว่าเป็นผู้ลงมือยิง นอกจากนี้ ยังได้ความจาก นายนุกูล ธนาการณ์ ผู้ต้องหาร่วมที่เป็นพยานเบิกความว่า รู้จักกับจำเลยที่ 1 และ 5 ซึ่งเคยเป็นผู้ฝึกมวย และก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน จำเลยที่ 5 แนะนำให้รู้จักกับจำเลยที่ 4 แล้วจำเลยที่ 4 มาชักชวนให้ทำงานฆ่าคนที่ตกลงราคากัน 200,000 บาท ซึ่งพยานแนะนำให้พวกจำเลยรู้จักกับจำเลยที่ 3 ที่พักอยู่ จ.นครสวรรค์ ก่อนจะตระเตรียมการหาอาวุธ และรถที่ใช้ก่อเหตุ
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกัน ประกอบกับผลตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือแฝงบนหมวกนิรภัย และรถจักรยานยนต์ของกลาง ที่คนร้ายทิ้งไว้ที่หน้าหมู่บ้านแกรนด์เพอร์เฟ็ค ย่านลาดกระบัง ที่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร พบว่า ลอยนิ้วแฝงตรงกับจำเลยที่ 2-3 ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า จำเลยทั้ง 2 มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่ นายนุกุล พยานโจทก์เบิกความ โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ จึงเชื่อว่า พยานหลักฐานโจทก์เป็นความจริง ส่วนอาวุธปืนรีวอลเวอร์ สมิท แอนด์ แวสสัน ขนาด .38 และลูกกระสุนปืน 2 นัด มีรอยตำหนิ ตรงกับหัวกระสุนในที่เกิดเหตุ
ส่วนจำเลยที่ 4 อุทธรณ์ว่า ไม่มีเหตุโกรธเคือง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ หจก.ไพโรจน์ฯ นั้น เห็นว่า เมื่อผู้ตายร้องเรียนเรื่องการต่อต้านบ่อขยะ ย่อมส่งผลกระทบต่อจำเลยที่ 4 ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนความสัมพันธ์กับ หจก.ไพโรจน์ฯ นั้น เป็นการยากที่โจทก์จะนำสืบให้เห็นได้ แต่เมื่อพยานหลักฐานที่มี บ่งชี้ว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้จ้างวานฆ่า และมีน้ำหนักรับฟังได้ คำอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 จึงไม่มีน้ำหนัก
สำหรับจำเลยที่ 5 ซึ่งอ้างว่า รับสารภาพ เพราะถูกบังคับนั้น ก็ไม่ปรากฏว่า มีการร้องขอความเป็นธรรมแต่อย่าใด จึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 4 ได้จ้างวานจำเลยที่ 1 ให้กระทำผิด โดยมีจำเลยที่ 5 แนะนำให้รู้จัก และติดต่อจำเลยที่ 2-3 เพื่อหาอาวุธปืนและรถจักยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ และจำเลยที่ 5 เป็นผู้ชี้บ้าน และร้านชำที่ผู้ตายนั่งประจำ โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 ยิงผู้ตาย ที่ศาลชั้นต้น พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2-4 นั้นชอบแล้ว
โดย ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ควรให้แก้บทลงโทษในส่วนจำเลยที่ 5 และข้อหาอื่นบางส่วนให้เหมาะสมพฤติการณ์ ซึ่งพฤติการณ์ปรากฏว่า จำเลยที่ 5 เป็นเพียงผู้สนับสนุนกระทำ มิใช่เป็นตัวการ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 5 กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.289(4) ประกอบมาตรา 86 ให้จำคุกตลอดชีวิต คำให้การรับสารภาพจำเลยที่ 5 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกจำเลยที่ 5 ไว้ทั้งสิ้น 33 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2-3 พิพากษายืนให้จำคุกตลอดชีวิต และให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 4 สถานเดียว