ศอ.รส.ออกประกาศห้ามใช้ถนนรอบบ้านนายกฯ หลังถูกกลุ่มต่อต้านตามป่วนหนัก ขณะที่ “วิเชียร” กำชับตำรวจในพื้นที่นายกฯ ลงตรวจเยี่ยมดูแลความปลอดภัยเข้มงวด สั่งสันติบาลเพิ่มความเข้มตรวจคนเข้าออกทำเนียบ พร้อมเพิ่มกำลัง 26 กองร้อย เตรียมรับมือเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ 12 มี.ค.เฝ้าจับตาแกนนำขึ้นเวทีปราศรัย หวั่นขัดเงื่อนไขประกันตัว
วันนี้ (8 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.กล่าวภายหลังการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส.ว่า ในวันนี้ที่ประชุมศอ.รส.ได้มีการออกประกาศ ศอ.รส.ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง ห้ามการใช้เส้นทางการคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ (เพิ่มเติม) โดยรายละเอียดในประกาศดังกล่าวได้ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ในเส้นทาง ถ.สุขุมวิท จากปากซอยสุขุมวิท 39 - ปลายซอยสุขุมวิท 39 ตัด ถ.เพชรบุรี, บริเวณ ถ.สุขุมวิท ซ.สุขุมวิท 33, ถ.สุขุมวิท ซ.สุขุมวิท 31 ตั้งแต่ปากซอย-ปลายซอยสวัสดี และทางลัดซอยสุขุมวิท 39 ตั้งแต่แยกพร้อมศรี - แยกโรงเรียนสวัสดี ซึ่งเป็นพื้นที่โดยรอบทางเข้าบ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศอ.รส.จะมีประกาศห้ามบุคคลเข้าถึงตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญและนายกรัฐมนตรี ทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ที่นายกฯ จะเดินทางไปเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลความปลอดภัย ส่วนที่จะสามารถเข้าถึงตัวนายกฯ ได้หรือไม่นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น รปภ.นายกฯ และทีมงานเลขานุการทำหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง ในส่วนของตำรวจได้มีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกฯ โดยในทำเนียบรัฐบาลได้มีการสั่งการให้ทางสันติบาลเพิ่มความเข้มงวดการตรวจตราบุคคลเข้าออกและการดูแลรักษาความปลอดภัย ส่วนกรณีที่อาจมีประชาชนถือป้ายแสดงความคิดไม่เห็นด้วยกับนายกฯนั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการพิจารณาว่าเป็นข้อความที่หยาบคายและเหมาะสมหรือไม่
ส่วนการประกาศห้ามใช้พื้นที่รอบบ้านนายกฯ จะกระทบกับภาคเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวมหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวยืนยันว่า รถทุกคันยังสามารถวิ่งผ่านเข้าออกบริเวณดังกล่าวได้ โดยทาง ศอ.รส.ไม่ได้มีการห้าม แต่จะกั้นและจำกัดพื้นที่ในบางโอกาส เช่น กรณีที่มีบุคคลต้องสงสัยที่อาจจะเข้ามาก่อความไม่สงบ หรือมีมูลเหตุที่ไม่น่าไว้วางใจโดยในกรณีนี้ทางเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาอีกครั้ง
เมื่อถามว่า ในอนาคตหากนายกฯ จะเดินทางไปที่ใดจะต้องประกาศเป็นพื้นที่หวงห้ามไว้รองรับใช่หรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้น ซึ่งประกาศฉบับดังกล่าวเป็นเพียงการควบคุมพื้นที่บ้านพักของนายกฯ ในฐานะประมุขฝ่ายบริหารของประเทศเท่านั้น ประกอบกับทางเข้าบ้านพักของนายกฯเป็นซอยที่มีขนาดเล็ก ถ้าหากมีบุคคลเข้าไปก่อกวนหรือสร้างความวุ่นวายก็อาจกระทบกับบุคคลที่พักอาศัย ดังนั้น จึงต้องมีการออกประกาศเพิ่มเติมดังกล่าว
พล.ต.ต.ประวุฒิ ยังกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเป็นการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ซึ่งจะมีการรวมพลประชาชนจากต่างจังหวัดเข้ามาด้วยว่า ทาง ตร.ได้ตั้งศูนย์ติดตามความเคลื่อนไหวตั้งแต่เช้าของวันที่ 12 มี.ค.และใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 26 กองร้อย ซึ่งเพิ่มเติมจากปกติอีก 6 กองร้อย ซึ่งนำมาจาก บช.ภ.1, 2 และ 7 โดยทั้งหมดจะกระจายกำลังดูแลพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และพื้นที่รอบการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ยืนยันว่า เจ้าหน้าหน่วยควบคุมฝูงชนไม่มีอาวุธ โดยมีเพียงแต่อุปกรณ์ป้องกันตัวเช่นโล่ สนับแข้งและสนับขา สำหรับการชุมนุมที่อาจจะขยายพื้นที่ออกไปจะมีตำรวจจราจร สายสืบ คอยดูแล พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ใช้เส้นทางการจราจรทราบ ดูแลความปลอดภัยและเหตุกระทบกระทั่งต่างๆ
เมื่อถามว่า การตรวจสอบการปราศรัยของแกนนำที่ได้รับการประกันตัวออกมาว่าอาจจะขัดเงื่อนไขการประกันตัวหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า หลังจากแกนนำคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัวออกมา ก็ไม่มีพฤติกรรมที่จะส่อไปในทางรุนแรง แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงจับตาดูอยู่
ส่วนการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนงานกาชาดจะเริ่มวันที่ 30 มี.ค. พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า สำหรับงานกาชาดที่จะมีขึ้น เราจะให้เวลาเจ้าหน้าที่ในการจัดซุ้มและร้านค้า ซึ่งคงต้องใช้เวลาก่อนงานจะเริ่ม 2 สัปดาห์ ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้งบประมาณ 8 ล้านบาทต่อวันในการดูแลการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ขอยืนยันว่า งบที่ได้มาทั้งหมดเป็นงบประมาณที่ให้เบี้ยเลี้ยงตำรวจวันละ 400 บาท เท่านั้น ซึ่งคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณมากขนาดนั้น
วันนี้ (8 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.กล่าวภายหลังการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส.ว่า ในวันนี้ที่ประชุมศอ.รส.ได้มีการออกประกาศ ศอ.รส.ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง ห้ามการใช้เส้นทางการคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ (เพิ่มเติม) โดยรายละเอียดในประกาศดังกล่าวได้ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ในเส้นทาง ถ.สุขุมวิท จากปากซอยสุขุมวิท 39 - ปลายซอยสุขุมวิท 39 ตัด ถ.เพชรบุรี, บริเวณ ถ.สุขุมวิท ซ.สุขุมวิท 33, ถ.สุขุมวิท ซ.สุขุมวิท 31 ตั้งแต่ปากซอย-ปลายซอยสวัสดี และทางลัดซอยสุขุมวิท 39 ตั้งแต่แยกพร้อมศรี - แยกโรงเรียนสวัสดี ซึ่งเป็นพื้นที่โดยรอบทางเข้าบ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศอ.รส.จะมีประกาศห้ามบุคคลเข้าถึงตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญและนายกรัฐมนตรี ทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ที่นายกฯ จะเดินทางไปเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลความปลอดภัย ส่วนที่จะสามารถเข้าถึงตัวนายกฯ ได้หรือไม่นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น รปภ.นายกฯ และทีมงานเลขานุการทำหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง ในส่วนของตำรวจได้มีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกฯ โดยในทำเนียบรัฐบาลได้มีการสั่งการให้ทางสันติบาลเพิ่มความเข้มงวดการตรวจตราบุคคลเข้าออกและการดูแลรักษาความปลอดภัย ส่วนกรณีที่อาจมีประชาชนถือป้ายแสดงความคิดไม่เห็นด้วยกับนายกฯนั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการพิจารณาว่าเป็นข้อความที่หยาบคายและเหมาะสมหรือไม่
ส่วนการประกาศห้ามใช้พื้นที่รอบบ้านนายกฯ จะกระทบกับภาคเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวมหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวยืนยันว่า รถทุกคันยังสามารถวิ่งผ่านเข้าออกบริเวณดังกล่าวได้ โดยทาง ศอ.รส.ไม่ได้มีการห้าม แต่จะกั้นและจำกัดพื้นที่ในบางโอกาส เช่น กรณีที่มีบุคคลต้องสงสัยที่อาจจะเข้ามาก่อความไม่สงบ หรือมีมูลเหตุที่ไม่น่าไว้วางใจโดยในกรณีนี้ทางเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาอีกครั้ง
เมื่อถามว่า ในอนาคตหากนายกฯ จะเดินทางไปที่ใดจะต้องประกาศเป็นพื้นที่หวงห้ามไว้รองรับใช่หรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้น ซึ่งประกาศฉบับดังกล่าวเป็นเพียงการควบคุมพื้นที่บ้านพักของนายกฯ ในฐานะประมุขฝ่ายบริหารของประเทศเท่านั้น ประกอบกับทางเข้าบ้านพักของนายกฯเป็นซอยที่มีขนาดเล็ก ถ้าหากมีบุคคลเข้าไปก่อกวนหรือสร้างความวุ่นวายก็อาจกระทบกับบุคคลที่พักอาศัย ดังนั้น จึงต้องมีการออกประกาศเพิ่มเติมดังกล่าว
พล.ต.ต.ประวุฒิ ยังกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเป็นการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ซึ่งจะมีการรวมพลประชาชนจากต่างจังหวัดเข้ามาด้วยว่า ทาง ตร.ได้ตั้งศูนย์ติดตามความเคลื่อนไหวตั้งแต่เช้าของวันที่ 12 มี.ค.และใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 26 กองร้อย ซึ่งเพิ่มเติมจากปกติอีก 6 กองร้อย ซึ่งนำมาจาก บช.ภ.1, 2 และ 7 โดยทั้งหมดจะกระจายกำลังดูแลพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และพื้นที่รอบการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ยืนยันว่า เจ้าหน้าหน่วยควบคุมฝูงชนไม่มีอาวุธ โดยมีเพียงแต่อุปกรณ์ป้องกันตัวเช่นโล่ สนับแข้งและสนับขา สำหรับการชุมนุมที่อาจจะขยายพื้นที่ออกไปจะมีตำรวจจราจร สายสืบ คอยดูแล พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ใช้เส้นทางการจราจรทราบ ดูแลความปลอดภัยและเหตุกระทบกระทั่งต่างๆ
เมื่อถามว่า การตรวจสอบการปราศรัยของแกนนำที่ได้รับการประกันตัวออกมาว่าอาจจะขัดเงื่อนไขการประกันตัวหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า หลังจากแกนนำคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัวออกมา ก็ไม่มีพฤติกรรมที่จะส่อไปในทางรุนแรง แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงจับตาดูอยู่
ส่วนการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนงานกาชาดจะเริ่มวันที่ 30 มี.ค. พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า สำหรับงานกาชาดที่จะมีขึ้น เราจะให้เวลาเจ้าหน้าที่ในการจัดซุ้มและร้านค้า ซึ่งคงต้องใช้เวลาก่อนงานจะเริ่ม 2 สัปดาห์ ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้งบประมาณ 8 ล้านบาทต่อวันในการดูแลการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ขอยืนยันว่า งบที่ได้มาทั้งหมดเป็นงบประมาณที่ให้เบี้ยเลี้ยงตำรวจวันละ 400 บาท เท่านั้น ซึ่งคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณมากขนาดนั้น