“ร.ต.อ.” สวมเครื่องแบบครึ่งท่อน สตาร์ทเบนซ์จอดในปั๊มน้ำมันลั่นไกยิงตัวตาย เจอจดหมายน้อยลาตาย “ผมแค่เป็นโรคเครียด” ขณะที่ลูกน้อง บอกเจ้านายไม่มีปัญหาขัดแย้งกับใคร เลยไม่รู้เครียดเรื่องอะไรจนเป็นเหตุให้ฆ่าตัวตาย ส่วนพ่อผู้ตาย เผยลูกไม่เคยเล่าปัญหาอะไรให้ฟัง ปกติเป็นคนเรียบร้อยยังไม่มีแฟนพ่อแม่ก็ไม่เคยเร่งรัด แต่ช่วงปีใหม่มาลูกดูเงียบขรึม และไม่กลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด จึงต้องมาหาลูกเอง
วันนี้ (3 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.10 น. ร.ต.ท.กานต์นิธิ แตงอ่ำ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตัวเองเสียชีวิตภายในปั๊มน้ำมันเชลล์ ซอยแจ้งวัฒนะ 15 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบแล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรัศมิ์ อุดมรัตน์นวชัย รองผบก.น.2 พ.ต.อ.ศิวโรจน์ สุขัควานนท์ ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ทุ่งสองห้อง แพทย์นิติเวชรพ.ตำรวจ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุภายในปั๊มหน้าร้านซีเล็ค พบรถเบนซ์รุ่น E220 สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ธท 5517 กรุงเทพมหานคร จอดติดเครื่องอยู่ โดยประตูล็อกทั้ง 4 ด้าน เมื่องัดประตูรถเปิดตรวจสอบพบศพ ร.ต.อ.ภูมิศักดิ์ ราโช อายุ 35 ปี รองสว.2 กก.ดส.บช.น. สภาพศพอยู่ในท่านั่ง สวมชุดเครื่องแบบครึ่งท่อน มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าที่ขมับซ้ายทะลุขวา ที่มือซ้ายถืออาวุธปืนยี่ห้อโคลต์ ขนาด 11 มม.1 กระบอก นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุนขนาด 11 มม.ติดอยู่ที่บริเวณขอบประตูหน้าขวาฝั่งคนขับ นอกจากนี้ที่เบาะด้านข้างคนขับยังพบกระดาษ 1 แผ่น ระบุข้อความลาตายเพียงสั้นๆ ว่า “ผมแค่เป็นโรคเครียด” เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมอาวุธปืนและหลักฐานทั้งหมดที่พบไปตรวจสอบอย่างละเอียด
จากการสอบถาม ด.ต.หญิง กรรัตน์ มณีนนท์ อายุ 38 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดเดียวกันกับผู้ตายกล่าวว่า ตนเป็นลูกน้องของผู้ตาย ก่อนหน้านี้ผู้ตายปฏิบัติหน้าที่อยู่งานสืบสวนตรวจตราและควบคุมกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.สดส.บช.น.) กระทั่งภายหลังผู้บังคับบัญชาได้มีนโยบายให้เปลี่ยนเป็นงานสายตรวจ ซึ่งผู้ตายก็สมัครใจขอย้ายมาปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการสายตรวจ 2 โดยย้ายมาได้หลายเดือนแล้ว ซึ่งปกติผู้ตายจะไม่ค่อยคุยกับใคร เวลาทำงานก็จะนั่งเงียบๆ โดยเมื่อวานนี้ (2 มี.ค.) ผู้ตายก็ไม่ได้มาเข้าเวร ตนจึงโทรศัพท์ไปหาก็ไม่รับสาย เบื้องต้นผู้ตายไม่มีปัญหาขัดแย้งกับใคร และไม่มีปัญหาเรื่องการทำงาน จึงไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรที่ทำให้ผู้ตายเครียดจนถึงกับต้องฆ่าตัวตาย
ต่อมานายเกชา ราโช อายุ 64 ปี บิดาของผู้ตายได้เดินทางมาที่เกิดเหตุพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า ผู้ตายเป็นลูกชายของตน ส่วนตนเป็นข้าราชการบำนาญ ปกติจะพักอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนลูกชายพักอยู่ที่แฟลตตำรวจย่านแจ้งวัฒนะกับลูกน้อง ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ตนได้เดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ามาเยี่ยมลูกชายที่กรุงเทพฯ และมาพักอยู่ที่แฟลตด้วย ซึ่งเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมาก็ยังไปเที่ยวด้วยกัน ลูกชายก็ไม่ได้เล่าปัญหาอะไรให้ฟัง ปกติลูกชายเป็นคนเรียบร้อย ตั้งใจทำงาน อัธยาศัยดี แต่ตนสังเกตเห็นลูกชายมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา จากที่เคยเป็นคนพูดคุยก็เงียบขรึม ไม่ค่อยคุยกับใคร และไม่เดินทางกลับไปที่บ้าน ตนจึงต้องมาหาที่กรุงเทพฯ
นายเกชากล่าวอีกว่า ตนได้คุยกับลูกชายครั้งสุดท้ายวันที่ 2 มี.ค. เวลา 17.00 น.ซึ่งตนโทรศัพท์ไปหาลูกชายเพื่อที่จะถามว่าอยู่ตรงไหนและจะกลับที่แฟลตกี่โมง ลูกชายก็ตอบว่าอยู่แถวแจ้งวัฒนะไม่ไกลจากที่พักมาก จากนั้นตนก็ติดต่อลูกไม่ได้อีกเลย กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจโทร.ไปบอกว่าลูกเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุที่ทำให้ลูกชายเครียดนั้นตนไม่ทราบว่าลูกมีปัญหาอะไร เนื่องจากไม่เคยเล่าให้ฟัง ส่วนเรื่องชู้สาวไม่มีแน่นอน เพราะลูกชายยังไม่มีแฟน ซึ่งที่ผ่านมาตนกับครอบครัวก็เห็นว่าลูกชายอายุมากแล้ว เคยแนะนำผู้หญิงให้หลายคน แต่ลูกชายก็บอกว่ายังไม่พร้อม คิดว่าไม่น่าจะใช่สาเหตุนี้ที่ทำให้ลูกเครียด เพราะตนไม่ได้เร่งรัด
ด้าน พ.ต.อ.ศิวโรจน์ เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำพยานซึ่งเป็นพนักงานภายในปั๊มน้ำมันทราบว่า ผู้ตายได้ขับรถเบนซ์เข้ามาจอดตั้งแต่เมื่อตอนสี่ทุ่มที่ผ่านมา จากนั้นปั๊มก็ปิดทำการ กระทั่งมาเปิดปั๊มในช่วงเช้าก็ยังเห็นรถผู้ตายจอดติดเครื่องอยู่ พนักงานคาดว่าจะเกิดเหตุร้ายจึงได้งัดรถทำให้พบศพของผู้ตาย ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ
สำหรับสาเหตุคาดว่าผู้ตายน่าจะเป็นโรคเครียด หรืออาจจะมีปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถบอกใครได้ ทำให้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ไม่ใช่เหตุฆาตกรรม เพราะเพื่อนร่วมงานก็บอกว่าผู้ตายถนัดมือซ้าย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ พฐ.ได้ทำการเก็บลายนิ้วมือที่อาวุธปืนและรถเบนซ์ไปตรวจสอบแล้ว เพื่อหาคราบเขม่าดินปืนและลายนิ้วมือแฝง หลังจากนี้จะต้องสอบปากคำพยานและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ตายอย่างละเอียดอีกครั้ง รวมทั้งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่หน้าร้านซีเล็ค เพื่อดูว่าผู้ตายเข้ามาจอดรถเวลากี่โมง มีการพบเจอใครก่อนเสียชีวิตหรือไม่ ก่อนมอบศพให้มูลนิธิ เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป
วันนี้ (3 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.10 น. ร.ต.ท.กานต์นิธิ แตงอ่ำ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตัวเองเสียชีวิตภายในปั๊มน้ำมันเชลล์ ซอยแจ้งวัฒนะ 15 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบแล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรัศมิ์ อุดมรัตน์นวชัย รองผบก.น.2 พ.ต.อ.ศิวโรจน์ สุขัควานนท์ ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ทุ่งสองห้อง แพทย์นิติเวชรพ.ตำรวจ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุภายในปั๊มหน้าร้านซีเล็ค พบรถเบนซ์รุ่น E220 สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ธท 5517 กรุงเทพมหานคร จอดติดเครื่องอยู่ โดยประตูล็อกทั้ง 4 ด้าน เมื่องัดประตูรถเปิดตรวจสอบพบศพ ร.ต.อ.ภูมิศักดิ์ ราโช อายุ 35 ปี รองสว.2 กก.ดส.บช.น. สภาพศพอยู่ในท่านั่ง สวมชุดเครื่องแบบครึ่งท่อน มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าที่ขมับซ้ายทะลุขวา ที่มือซ้ายถืออาวุธปืนยี่ห้อโคลต์ ขนาด 11 มม.1 กระบอก นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุนขนาด 11 มม.ติดอยู่ที่บริเวณขอบประตูหน้าขวาฝั่งคนขับ นอกจากนี้ที่เบาะด้านข้างคนขับยังพบกระดาษ 1 แผ่น ระบุข้อความลาตายเพียงสั้นๆ ว่า “ผมแค่เป็นโรคเครียด” เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมอาวุธปืนและหลักฐานทั้งหมดที่พบไปตรวจสอบอย่างละเอียด
จากการสอบถาม ด.ต.หญิง กรรัตน์ มณีนนท์ อายุ 38 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดเดียวกันกับผู้ตายกล่าวว่า ตนเป็นลูกน้องของผู้ตาย ก่อนหน้านี้ผู้ตายปฏิบัติหน้าที่อยู่งานสืบสวนตรวจตราและควบคุมกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.สดส.บช.น.) กระทั่งภายหลังผู้บังคับบัญชาได้มีนโยบายให้เปลี่ยนเป็นงานสายตรวจ ซึ่งผู้ตายก็สมัครใจขอย้ายมาปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการสายตรวจ 2 โดยย้ายมาได้หลายเดือนแล้ว ซึ่งปกติผู้ตายจะไม่ค่อยคุยกับใคร เวลาทำงานก็จะนั่งเงียบๆ โดยเมื่อวานนี้ (2 มี.ค.) ผู้ตายก็ไม่ได้มาเข้าเวร ตนจึงโทรศัพท์ไปหาก็ไม่รับสาย เบื้องต้นผู้ตายไม่มีปัญหาขัดแย้งกับใคร และไม่มีปัญหาเรื่องการทำงาน จึงไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรที่ทำให้ผู้ตายเครียดจนถึงกับต้องฆ่าตัวตาย
ต่อมานายเกชา ราโช อายุ 64 ปี บิดาของผู้ตายได้เดินทางมาที่เกิดเหตุพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า ผู้ตายเป็นลูกชายของตน ส่วนตนเป็นข้าราชการบำนาญ ปกติจะพักอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนลูกชายพักอยู่ที่แฟลตตำรวจย่านแจ้งวัฒนะกับลูกน้อง ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ตนได้เดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ามาเยี่ยมลูกชายที่กรุงเทพฯ และมาพักอยู่ที่แฟลตด้วย ซึ่งเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมาก็ยังไปเที่ยวด้วยกัน ลูกชายก็ไม่ได้เล่าปัญหาอะไรให้ฟัง ปกติลูกชายเป็นคนเรียบร้อย ตั้งใจทำงาน อัธยาศัยดี แต่ตนสังเกตเห็นลูกชายมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา จากที่เคยเป็นคนพูดคุยก็เงียบขรึม ไม่ค่อยคุยกับใคร และไม่เดินทางกลับไปที่บ้าน ตนจึงต้องมาหาที่กรุงเทพฯ
นายเกชากล่าวอีกว่า ตนได้คุยกับลูกชายครั้งสุดท้ายวันที่ 2 มี.ค. เวลา 17.00 น.ซึ่งตนโทรศัพท์ไปหาลูกชายเพื่อที่จะถามว่าอยู่ตรงไหนและจะกลับที่แฟลตกี่โมง ลูกชายก็ตอบว่าอยู่แถวแจ้งวัฒนะไม่ไกลจากที่พักมาก จากนั้นตนก็ติดต่อลูกไม่ได้อีกเลย กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจโทร.ไปบอกว่าลูกเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุที่ทำให้ลูกชายเครียดนั้นตนไม่ทราบว่าลูกมีปัญหาอะไร เนื่องจากไม่เคยเล่าให้ฟัง ส่วนเรื่องชู้สาวไม่มีแน่นอน เพราะลูกชายยังไม่มีแฟน ซึ่งที่ผ่านมาตนกับครอบครัวก็เห็นว่าลูกชายอายุมากแล้ว เคยแนะนำผู้หญิงให้หลายคน แต่ลูกชายก็บอกว่ายังไม่พร้อม คิดว่าไม่น่าจะใช่สาเหตุนี้ที่ทำให้ลูกเครียด เพราะตนไม่ได้เร่งรัด
ด้าน พ.ต.อ.ศิวโรจน์ เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำพยานซึ่งเป็นพนักงานภายในปั๊มน้ำมันทราบว่า ผู้ตายได้ขับรถเบนซ์เข้ามาจอดตั้งแต่เมื่อตอนสี่ทุ่มที่ผ่านมา จากนั้นปั๊มก็ปิดทำการ กระทั่งมาเปิดปั๊มในช่วงเช้าก็ยังเห็นรถผู้ตายจอดติดเครื่องอยู่ พนักงานคาดว่าจะเกิดเหตุร้ายจึงได้งัดรถทำให้พบศพของผู้ตาย ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ
สำหรับสาเหตุคาดว่าผู้ตายน่าจะเป็นโรคเครียด หรืออาจจะมีปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถบอกใครได้ ทำให้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ไม่ใช่เหตุฆาตกรรม เพราะเพื่อนร่วมงานก็บอกว่าผู้ตายถนัดมือซ้าย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ พฐ.ได้ทำการเก็บลายนิ้วมือที่อาวุธปืนและรถเบนซ์ไปตรวจสอบแล้ว เพื่อหาคราบเขม่าดินปืนและลายนิ้วมือแฝง หลังจากนี้จะต้องสอบปากคำพยานและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ตายอย่างละเอียดอีกครั้ง รวมทั้งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่หน้าร้านซีเล็ค เพื่อดูว่าผู้ตายเข้ามาจอดรถเวลากี่โมง มีการพบเจอใครก่อนเสียชีวิตหรือไม่ ก่อนมอบศพให้มูลนิธิ เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป