จันทร์ส่องดาววันนี้ขอเสนอกระบอกเสียงกองปราบปรามคนใหม่ถอดด้าม พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผบก.ป.ที่มองผิวเผินเพียงเปลือกนอก ทั้งคำพูดคำจาที่ฉะฉาน ฉาบสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและดูเป็นมิตรแล้ว ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้เลยว่าเส้นทางชีวิตราชการของชายผู้นี้ไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ ความรุ่งเรืองและร่วงโรยขีดสุด เขาผ่านมาแล้วทั้งสองอย่าง
6 มีนาคม 2498 ด.ช.ประสพโชค พร้อมมูล ลืมตาดูโลก ณ บ้านกรูด ต.ธงชัย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เขาเติบโตมาด้วยกลิ่นอายของดินและโคลน รั้วบ้านรายรอบไปด้วยเรือกสวน ไร่นา
เมื่อถึงวัยใฝ่ศึกษา จึงเข้าเรียนระดับชั้นประถมที่โรงเรียนวัดดอนยางและโรงเรียนวัดธงชัยธรรมจักร เขาสอบได้ที่หนึ่งของห้องตลอด
จากนั้นเข้าเรียน มศ.1-3 ที่โรงเรียนประจวบวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ด้วยความที่โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้านหลายกิโล เขาจึงขอสมัครเข้าไปเป็นเด็กวัดที่วัดเกาะหลัก อาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีวิต เพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน และที่วัดนี่เองได้บ่มเพาะชีวิตเขาให้กล้าแกร่ง
“ที่วัดมีทั้งเพื่อนดีและเกเร แน่นอนผมเลือกคบเพื่อนที่ใฝ่ดี ผมอยากเรียนหนังสือให้สูงเพราะไม่อยากเป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน เหมือนปู่และพ่อ ผมต้องไปให้ไกลกว่านี้ และการศึกษาถือเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะนำพาชีวิตผมให้พ้นจากตรงนั้นได้ พาผมเลื่อนชั้นเชิดหน้าชูตาในสังคมได้ “ พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวด้วยแววตาจริงจัง ก่อนเสริมถึงสิ่งที่อยากสวมเครื่องแบบสีกากีอันขรึมขลังว่า
“ตอนเด็กๆ ผมเห็นนายดาบแก่ๆคนหนึ่ง ทำตัวคุยโวโอ้อวดเบ่งใส่ชาวบ้านไปทั่ว จนเป็นที่ระอาแก่ผู้พบเห็น ผมไม่ชอบนิสัยเขาเลย ก็เลยมาคิดว่า ผมจะเป็นตำรวจให้ได้ ยศจะต้องสูงกว่าเขา จะรักและพูดจาดีๆกับชาวบ้าน “นั่นคือปฏิธานที่ ด.ช.ประสพโชคให้ไว้กับตัวเอง
ระหว่างที่เรียนในระดับชั้นประถมนั้นครูให้ทุกคนออกไปพูดหน้าห้องในหัวข้อว่า”เมื่อโตขึ้นอยากเป็นอะไร” ด.ช.ประสพโชค พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า”ผมอยากเป็นตำรวจครับ” ทำให้เพื่อนทั้งห้องหัวเราะกันตัวโยน เพราะด้วยความที่เขาเป็นคนรูปร่างเล็กกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ใครๆ ก็สบประมาทว่าไม่มีวันที่เขาจะสอบเข้าตำรวจได้
แต่เขาก็ทำความฝันในวัยเด็กจนเป็นจริงได้เมื่อสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 15 สอบได้ที่ 8 ของรุ่น มีเพื่อนร่วมรุ่นเช่น พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาค 1 พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รอง แม่ทัพภาค 1 พล.ต. ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เจ้ากรมยุทธการทหารบก และ พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา รองแม่ทัพภาคที่ 3 น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.
จากนั้นก็เลือกเหล่ามาเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 31 สอบได้ที่ 5 มีเพื่อนร่วมรุ่นเช่น พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่า รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.และ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.
ติดยศ ร.ต.ต.เป็นพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง และปฏิธานที่ให้ไว้ในวัยเด็กก็ถูกนำมาใช้
“ตอนอยู่โรงพักนางเลิ้ง ผมตั้งใจเป็นตำรวจที่ดี เอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อชาวบ้านมาแจ้งความร้องทุกข์ก็พยายามคิดกลับกัน ถ้าเราเป็นชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน เราจะคิดเช่นไร นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มความสามารถที่มีอยู่ ” พ.ต.อ.ประสพโชค เล่าย้อนไปในอดีต
ต่อมาได้เป็นผู้ช่วยนายเวร ผู้บัญชาการตำรวจภาค 3 ก่อนติดยศ พ.ต.ต.เป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 และได้รับโอกาสเข้ามาอยู่กองปราบปราม เป็นสารวัตรแผนก 2 กองกำกับการ 3 ดูแลพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด
จากนั้นก็ได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่จาก พล.ต.ต.บุญชู วังกานนท์ ผู้บังคับการกองปราบปรามขณะนั้น ให้ดำรงค์ตำแหน่งเป็นสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ2 ซึ่งเรียกขานกันว่า “สารวัตรประเทศไทย”เพราะมีอำนาจสืบสวน สอบสวนทั่วประเทศ ถือว่ายิ่งใหญ่มากในยุคนั้น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็เคยนั่งเก้าอี้นี้มาก่อนด้วย
ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็น รอง ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม และนี่เองที่ทำให้เส้นทางความก้าวหน้าและเจริญเติบโตในชีวิตราชการของเขาต้องแคระเกร็นและชะงักลง เมื่อเขาไปทำคดีใหญ่ คดีหนึ่งแล้วไปขัดแข้งขัดผลประโยชน์ผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง จึงถูกสั่งย้ายไปเป็น รอง ผกก.สารนิเทศ สตช. วางอาวุธปืน และงานด้านการสืบสวน ปราบปรามที่เขารักไว้ มาจ่อมจมอยู่กับกองหนังสือและเอกสารละลานตา
ชีวิตวนเวียนอยู่กับเอกสารและงานในสำนักงานขึ้นเป็น ผกก.กอ.รมน. และเลื่อนเป็น รอง ผบก. ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ทำหน้าที่ประสานระหว่างตำรวจกับทหารในระหว่างมีกลุ่มผู้ชุมนุม จากนั้นก็ย้ายมาเป็น รอง ผบก.ยศ. (ยุทธศาสตร์)
“บางครั้งชีวิตคนเราก็มีอุปสรรค์บ้าง เราต้องมองชีวิตอย่างเข้าใจ อย่าไปท้อถอย ผมท่องอยู่ในใจเสมอว่า ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน เราก็ทำประโยชน์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประชาชนได้ ” พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวและเสริมอีกว่า
"ระหว่างที่ถูกย้ายเข้ากรุ มีผู้ใหญ่ที่เคยเห็นฝีมือมาชักชวนให้ไปอยู่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ แต่ผมปฏิเสธกลับไป เพราะตั้งใจว่าจะรับราชการตำรวจเท่านั้น "
ด้วยความที่เป็นคนใฝ่ศึกษา พ.ต.อ.ประสพโชคยังมีดีกรีปริญญาโทรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกทั้งยังผ่านการฝึกหลักสูตร"S.W.A.T และ F.B.I.และจบหลักสูตรการบริหารงานตำรวจชั้นสูงรุ่น 28
ส่วนคดีที่ภูมิใจที่สุดคือ จับอาวุธสงคราม โดยลงทุนปลอมเป็นพ่อค้าเข้าไปล่อซื้ออาวุธถึงตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา พบคนขายมาพร้อมทหารเขมร 2 นายอาวุธครบมือคุ้มกันมา เมื่อเห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก เกรงว่ามันจะรู้ตัวแล้วจะมีอันตราย จึงแสร้งเดินเข้าไปหาทหารทั้งสองนายพร้อมทั้งบอกว่า”สองกระบอกนี้สวยว่ะ อั๊วเอาด้วย จะให้เท่าไหร่” พร้อมทั้งเดินเข้าประชิดจับอาก้าไว้ พวกมันยังงงๆอยู่ ก่อนพาเดินไปที่รถ ลูกน้องซึ่งซ่อนอยู่ก็ล็อคไว้โดยละม่อม
ต่อมาก็ไปล่อซื้ออาวุธอีก คราวนี้มันไหวตัวทันแต่เราเร็วกว่าจับล็อคแต่เอาไม่อยู่ มันคนเดียวหุ่นมะขามข้อเดียว เรา 4 คนเอาไม่อยู่จึงจับให้มันนั่งลง ปรากฏว่าปืนกลเหน็บอยู่ที่เอวตุงมาเลย นี่ถ้ามันสะบัดหลุดคงมีการสูญเสียเกิดขึ้นแน่
ส่วนคดีอื่นๆที่สำคัญเช่น จับมือปืนยิงหัวคะแนน “พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร”
วิสามัญทหารชั้นประทวนที่ก่อยิงตำรวจทางหลวงเสียชีวิต และปล้นรถสิบล้อแล้วยิงคนขับตาย
“เมื่อผมวิสามัญเสร็จแล้ว ปรากฏว่า ผู้บังคับการตำรวจทางหลวงโทรศัพท์มาขอบอกขอบใจยกใหญ่ เพราะเขาก็กำลังไล่ล่าคนร้ายอยู่ด้วย”พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิ
และฤดูแต่งตั้งโยกย้ายครั้งล่าสุด พ.ต.อ.ประสพโชค ก็ได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กลับมาสู่ถิ่นเก่าที่เปรียบเสมือนเบ้าหลอมสร้างเขาขึ้นมาในยุทธจักรสีกากี ผงาดมาเป็นรอง ผู้บังคับการกองปราบปราม
“เมื่อเจอหน้าเพื่อนๆ พวกเขามักจะถามว่าเรายังเป็นรองผู้บังคับการอยู่หรือ เพราะเพื่อนคนอื่นๆไปกันไกลหมดแล้ว และถามไถ่ว่าทำไมถึงมาได้แค่นี้ ชีวิตเราน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่ผมก็เฉยๆ เพราะผมไม่เคยวิ่งเต้น ที่ได้มาอยู่ตรงนี้มีความภาคภูมิใจในความเป็นกองปราบปราม ผมหวังเสมอว่าสักวันผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง แล้วผู้บังคับบัญชาก็เห็นความตั้งใจในการทำงานของผม ซึ่งขอสัญญาว่าหลังจากนี้จะตั้งใจปฏิบัติงานให้ดีที่สุด จะพยายามทำกองปราบ ให้เทียบเท่ากับ หน่วย เอฟ.บี.ไอ.ของสหรัฐฯที่เคยได้ไปฝึกปรือมา”
งานรับผิดชอบที่กองปราบปรามนั้น พ.ต.อ.ประสพโชค ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลงานสอบสวนคดีอาญา เป็นผู้ช่วยงานปราบปรามงานบริหารและเป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และจักรยานยนต์อีกตำแหน่ง ซึ่งไม่ทันไรก็สามารถทลายแก๊งโจรกรรมรถรายใหญ่ได้ นอกจากนี้ยังได้รับมอบหมายให้เป็นโฆษก ของกองปราบปราม อีกตำแหน่งด้วย
“ผมจะพิทักษ์รับใช้ประชาชน เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ปราบปรามยาเสพติด ซุ้มมือปืน และจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ให้บริการประชาชนตามนโยบาย”บริการดุจญาติ พิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว” ของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ” โฆษก ป้ายแดง กล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
ส่วนมุมมองเกี่ยวกับตำรวจนั้น พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ไม่ว่ายุคไหนในสังคมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี เราต้องทำตัวเองให้ดีก่อน พยายามหาแนวร่วม สร้างตำรวจน้ำดีให้มากๆ เพื่อน้ำสีขาวจะได้ไปละลายสีดำให้เทาลง หรือขาวสะอาดขึ้น
คติประจำใจของรองผู้การประสพโชคคือ”ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน”
“16 ปีที่รอคอย ผมถูกเขากลั่นแกล้งต้องระเห็จออกไปจากกองปราบตั้งแต่ปี 2538 เสียโอกาสในชีวิตเป็นอันมาก แต่ก็ยังหวังว่าสักวันจะต้องกลับมากองปราบปรามให้ได้ แล้วผมก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ซึ่งจากนี้ไปจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดให้สมกับที่ผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ” พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวความในใจด้วยแววตาที่ลุกเรือง
นี่คือเสี้ยวชีวิตหนึ่งของมือปราบดาวรุ่งของ นรต.รุ่น 31 ที่ถูกอำนาจมืดเล่นงานจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน จาก”สารวัตรประเทศไทย”กลับต้องวางปืนไปนั่งตบยุงในกรุมานานถึง 16 ปีเต็ม และก็ถึงเวลาแล้วที่เขี้ยวเล็บมือปราบที่ถูกเก็บซ่อนไว้จะถูกนำออกมาใช้ต่อกรกับเหล่าร้ายอีกครั้งหนึ่ง