สั่นประสาทบรรดาขาฮาร์ดคอร์! กันไปทั่วประเทศ หลังมีภาพการแถลงข่าวจับกุมแก๊งผู้ต้องหาพยายามลักลอบวางระเบิดบริเวณใกล้ทำเนียบรัฐบาล ก่อนหน้าที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะรวมตัวกันทำภารกิจเพื่อชาติและราชบัลลังก์เพียง 1 วัน!!!
“บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขัวญเมือง ที่ปรึกษา (สบ10) นายตำรวจสาย “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมชุดทำงานของมือสืบสวนระดับเกจิประกอบด้วย “ผู้การปั๊ด” พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบก.น.6 และ “ผู้การแม๋ว” พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น.ช่วยกันตามแกะรอยจับผู้พยายามก่อวินาศกรรมแก๊งนี้ได้ยกทีม พร้อมกับตามยึดของกลาง ซึ่งเป็นระเบิดและอาวุธสงครามสภาพใหม่เอี่ยม ประกอบด้วย ลูกยิงอาร์พีจี 3 นัด, เครื่องยิงอาร์พีจี 1 กระบอก, ดินขับ 3 ชุด, ตัวชนวน 4 อัน, กระสุนซ้อมยิงใช้กับปืนขนาด 20 มม. จำนวน 2 นัด, ลูกระเบิดขนาด 40 มม. เป็นแบบลูกปราย 3 นัด แบบเจาะเกราะ 4 นัด แบบสังหาร 27 นัด ซึ่งใช้กับ เอ็ม 79, กระสุนขนาด 7.62 ใช้กับปืนอาก้า 23 นัด, กระสุนขนาด 5.56 ใช้กับเอ็ม 16 จำนวน 115 นัด, กระสุนแบบเอ็ม 60 ขนาด 7.62 จำนวน 35 นัด, กระสุนปืนคาร์บิน 117 นัด เหตุเกิดเมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา
ทันทีที่เป็นข่าวผลการจับกุมกรณีนี้ก็ถูกสังคมและสื่อหลายแขนง ต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการ“จัดฉาก”ของตำรวจหรือไม่?!? เนื่องจากยังพบพิรุธหลายจุด ที่หากพิเคราะห์ถึงความน่าจะเป็น ดูแล้วถือว่าน่ากังขาทีเดียว โดยที่หลายคน ตั้งข้อสังเกตุไปไกลว่า การจับกุมจะเป็นแผนการณ์ของคนฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการ “สกัดกั้น” ไม่ให้กลุ่มมวลชนคนเสื้อเหลืองแห่แหนกันมาชุมนุมเรียกร้องสิทธิ์ตามระบอบ ประชาธิปไตย จึง “วางงาน” เลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.เพื่อส่งให้นายตำรวจระดับสูงในชุดจับกุมมีตำแหน่งหน้าที่การงานเป็น สิ่งตอบแทน!!! คือ เก้าอี้ ผบ.ตร.นั่นเอง
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 5 คนที่ประกอบด้วย นายธวัชชัย หรือดำ เอี่ยมนาค อายุ 37 ปี, นายดร มาตา อายุ 42 ปี, นายนพคุณ ศรีวงศ์มงคล อายุ 60 ปี, นายวิวัฒน์ หรือเซี๊ยะ วัฒนสกุลยิ้ม อายุ 60 ปี และนายมานัส รันรัตน์ อายุ 52 ปี ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ แต่ผลการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจ สน.ดุสิต และ สน.บางมด เจ้าของท้องที่ กลับยังไม่มีวี่แวว ว่าจะสรุปสำนวนคดีเพื่อส่งให้กับอัยการสั่งฟ้องได้ในวันใด
เรื่องนี้ ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ ได้ไปตรวจสอบติดตามความคืบหน้าการทำสำนวนคดี จากแหล่งข่าวระดับสูงท่านหนึ่งของกองบังคับการตำรวจนครบาล 8 ซึ่งเป็นเจ้าของท้องที่ที่นายธวัชชัย ให้การรับสารภาพว่า มีระเบิดจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ กลับได้รับคำตอบว่า “จุดดังกล่าวเป็นตลาดนัด ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการนำวัตถุระเบิดมากมายขนาดนั้นไปซุกไว้ในห้องเก็บของเล็กๆ ของคนที่ทำหน้าที่ดูแลตลาด แต่ในเมื่อเขาจับไปแล้วก็ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าไปรื้อฟื้น”
ขณะเดียวกัน ในท้องที่ สน.ดุสิต ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุที่นายธวัชชัยกำลังจะนำระเบิดมาวาง เพื่อก่อความวุ่นวายนั้น ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าคดีมีความคืบหน้าไปอย่างไรบ้าง ประกอบกับไม่พบประวัติการก่ออาชญากรรมของกลุ่มผู้ต้องหา มีเพียงผลที่ได้จากแนวทางการสืบสวนว่าน่าจะมีส่วนกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดจุด สำคัญๆที่ผ่านมาเท่านั้น
ส่วนความเป็นอยู่ของกลุ่มผู้ต้องหา ล่าสุดมีรายงานจากกรมราชทัณฑ์ ว่าภายหลังตำรวจนำตัวนายธวัชชัย กับผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการอีก 4 ราย ไปฝากขังเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อศาลอนุญาตให้ฝากขัง ทั้งหมดจึงถูกแยกไปควบคุมตัวภายในเรือนจำ 2 แห่ง คือ นายธวัชชัย ซึ่งถูกจับกุมในพื้นที่ สน.ดุสิต ถูกนำตัวไปฝากขังยัง แดน 1 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ขณะที่ผู้ต้องหาอีก 4 ราย คือ นายดร มาตา, นายนพคุณ ศรีวงศ์มงคล, นายวิวัฒน์ วัฒนสกุลยิ้ม และนายมานัส รันรัตน์ ซึ่งได้ขยายผลจับกุมในพื้นที่สน.บางมด ถูกนำตัวไปฝากขังยังเรือนจำพิเศษธนบุรี โดยขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดยังถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ เหมือนผู้ต้องขังทั่วไป โดยอยู่ในความดูแลของผู้คุมเรือนจำอย่างใกล้ชิด ส่วนสภาพความเป็นอยู่เรียบร้อยดี ไม่มีรายงานการทะเลาะวิวาท หรือสิ่งผิดปกติกับผู้ต้องหาแต่อย่างใด
หลักฐานคดีนี้ พ.ต.ท.กำธร อุ่ยเจริญ รอง ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถูระเบิด กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงรายละเอียดของวัตถุระเบิดและอาวุธสงครามตามความคิดเห็นว่า การจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาแก๊งนี้ ชุดจับกุมมีการสืบสวนติดตามความเคลื่อนไหวมานานแล้ว ผมเองก็ได้รับการประสานให้เข้าไปร่วมทำงานด้วย โดยทำหน้าที่ตรวจสอบวงจรระเบิดหาความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดคดีต่างๆที่เกิด ขึ้นในแต่ละพื้นที่ ว่าเชื่อมโยงกันหรือไม่อย่างไร
ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นข้อมูลในทางการสืบสวนผลการตรวจสอบของกลางที่ยึดได้จากผู้ ต้องหาและห้องเช่าที่ย่านบางมดทั้งหมดมีทั้งสภาพเก่าและใหม่ แต่อยู่ในสภาพพร้อมทำงานทันทีโดยเฉพาะระเบิดอาร์พีจีที่ตรวจยึดมาได้นั้นไม่ มีใช้ในหน่วยราชการทหารและตำรวจไทย แต่เป็นของเกาหลี อาจหาซื้อมาตามตลาดมืดหรือซื้อมาจากตามชายแดน
“ผมมองว่าไม่น่าจะเป็นการจัดฉาก ที่สำคัญจากทางการข่าวของตำรวจผู้ต้องหากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่จะลงมือก่อเหตุ ความวุ่นวายในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถทำได้เพราะตำรวจมีการวางกำลังอย่างหนาแน่น ทำให้เปลี่ยนเป้าหมายมาลงมือก่อเหตุในช่วงที่จะมีการชุมนุมแทน” พ.ต.ท.กำธร กล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ
พล.ต.อ.อัศวิน และชุดจับกุมทุกคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า มีการสืบสวนหาข่าวในทางลับ และติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มดังกล่าวมานานแล้ว โดยเฉพาะนายธวัชชัย ที่มีความเกี่ยวข้องกับความไม่สงบหลายเหตุการณ์ เพราะชนิดของวัตถุระเบิดและการต่อวงจรต่างๆ ตรงกับเหตุระเบิดที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้หลายจุด
“กรณีนี้ไม่ใช่ว่าผู้ต้องหามาเดินให้จับ ต้องปล้ำกันแทบตาย และใครจะมายอมติดคุก เพราะคดีนี้โทษถึงประหารชีวิต มันไม่ง่ายนะ ถ้าพวกคุณรู้ข้อเท็จจริงมันจะไม่ง่าย ผมใช้เวลาถึง 2-3 เดือน หมดเงินไม่รู้เท่าไหร่ในการแกะรอยทั้งหมดทุกรายที่มีการก่อเหตุ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก เชื่อผมเถอะว่าไม่ง่าย ทำไมผมต้องอดตาหลับขับตานอน ปีใหม่เขาพักผ่อนกัน ผมยังไม่ได้พักเลย เป็นพลเอกแล้วยังต้องมาตะลอนๆ อยู่” พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว
แต่ที่น่าสงสัยคือทำไม? ต้องมีการจับกุมก่อนหน้าที่พันธมิตรฯจะชุมนุมเพียง 1 วัน !!! และทำไมเวลาผ่านมาเกือบครบขวบเดือนแล้ว แต่การรวบรวมพยานหลักฐานกลับยังไม่มีความคืบหน้าตามที่ควรจะเป็น ทั้งที่ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ให้การรับสารภาพอย่างหมดเปลือก โดยมีพยานหลักฐานที่เป็นของกลางมายืนยันคำให้การ หรือว่า เหตุผลที่ “อัศวิน ขวัญเมือง” ไม่ยอมส่งคดีนี้ ให้ดีเอสไอไปทำการสอบสวนขยายผล ก็เพราะต้องการหวังยื้อคดี รอจังหวะสังคมหลงลืม ช่วยเหลือผู้ต้องหา เพื่อตอบแทนที่ให้ความร่วมมือ ร่วมขบวนการจัดฉาก สร้างฝันนั่งเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ก่อนเปิดหมวกอำลาชีวิตสีกากี...!