ตำรวจออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรฯ และแกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติแล้วรวม 10 คน แต่ยังไม่ยอมเปิดเผยชื่อ โดยให้ไปพบตำรวจภายในวันที่ 22 ก.พ.นี้ ขณะที่ “รองฯ นวย” ขู่อีกครั้ง โทษฝ่าฝืน พ.ร.บ.มั่นคง ทั้งจำและปรับ พร้อมเซอร์ไพรส์อาจมี “สมณะโพธิรักษ์” ด้วย
วันนี้ (15 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ฝ่าฝืนประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงในพื้นที่ห้ามชุมนุมว่า เจ้าหน้าหน้าที่ตำรวจพยายามเร่งเจรจาให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากพื้นที่ตามประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยมอบหมาย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เป็นผู้ไปเจรจา ส่วนกรณีขอเข้าตรวจค้นในพื้นที่การชุมนุมนั้น ขณะนี้ตำรวจเตรียมประชุมหารือกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตกลงว่าจะดำเนินการอย่างไร สำหรับหมายเรียกแกนนำที่ขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ และเวทีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนรายงานว่ามี 10 คน โดยหมายเรียกจะส่งไปยังภูมิลำเนาเกิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจเรื่องการจราจรหรือไม่ พล.ต.ท.จักรทิพย์กล่าวว่า ก็หนักใจเนื่องจากมีการเจรจาหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล โดยหลังจากออกหมายเรียกแล้วตำรวจจะดูว่ากลุ่มแกนนำที่จะมาพบมีท่าที่อย่างไร แต่ทางตำรวจไม่ลดความพยายามในการทำงาน อีกทั้งมีกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นมาชุมนุมในพื้นที่ กทม.หลายกลุ่มด้วย ซึ่งเมื่อวานที่ผ่านมามีผู้ชุมนุมลูกจ้างบริษัทมาร้องความเป็นธรรมพยายามจะเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล แต่ทางตำรวจก็ไม่อนุญาตให้เข้า
ด้าน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.กล่าวว่า หลังจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) พยายามใช้การเจรจาเพื่อต้องการให้เปิดพื้นผิวการจราจร และเมื่อเจรจาไม่เป็นผลจึงต้องเป็นขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งความผิดที่ชัดเจนในขณะนี้ คือมาตรา 18 ห้ามเข้าพื้นที่หรือออกจากเขตความผิดตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่งคงภายในราชอาณาจักรพุทธศักราช 2551 ผู้ที่ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ
“ทาง ศอ.รส.ได้ประกาศไว้ว่าพื้นที่การชุมนุมดังกล่าวเป็นพื้นที่ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง ตำรวจจึงจำเป็นต้องออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาในเบื้องต้นวันนี้ประมาณ 10 คน ทางเจ้าหน้าที่ได้ออกดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยให้มารับทราบกล่าวหาที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจนครบาล (บก.น.1) ในวันที่ 22 ก.พ.ให้เวลา 7 วัน หากต้องการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาก่อนได้ หลังออหมายเรียกแล้วยังไม่มา ก็ต้องดูว่ามีเหตุผลอันสมควรหรือไม่ ก็ต้องดูตามเหตุผลต่อไป” พล.ต.ต.อำนวยกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำรวม 10 คนที่ตำรวจออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ยังไม่ยอมเปิดเผยชื่อนั้น คาดว่าผู้ที่จะถูกออกหมายเรียกประกอบไปด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายประพันธ์ คูณมี, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ, พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจรักษ์, นายเทิดภูมิ ใจดี เป็นต้น ขณะที่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ที่อาจจะถูกออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาในครั้งนี้เช่นกันนั้น คาดว่ามีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายการุณ ใสงาม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีบุคคลที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายที่อาจจะถูกเรียกไปแจ้งข้อกล่าวหาด้วยคือ สมณะโพธิรักษ์ โพธิรกฺขิโต เจ้าสำนักสันติอโศกด้วย
โฆษก ตร.เผยคดีชุมนุมหน้าสนามบินเสร็จแล้ว
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองว่า ขณะนี้ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทราบเรื่องแล้ว แต่ยังไม่เห็นหนังสือลาออกเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ การลาออกของ พล.ต.ท.สมยศ นั้นไม่มีผลกระทบต่อคดีเนื่องจากคดีดังกล่าวดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเพียงส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาให้อัยการเพื่อฟ้องคดีเท่านั้น และการแจ้งข้อหาก็ได้กระทำก่อนที่ พล.ต.ท.สมยศจะมารับเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหาบุคคลอื่นมาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแทนแต่อย่างใด และยืนยันว่าการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวนนั้นดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง
ส่วนกรณีที่ พล.ต.จำลอง ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งพร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 220 ล้านบาทฐานทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง นั้น พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเข้าไปดูแลอยู่แล้ว เพราะการทำงานของเจ้าหน้าที่นั้นมีกฎหมายคุ้มครอง ตาม พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 8 ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเข้าไปช่วยเหลือดูแล แม้จะเป็นการฟ้องเพ่ง พล.ต.ท.สมยศโดยตรงก็ตาม