กองปราบ คุมตัว “ไชยวัฒน์ - สมบูรณ์” ฝากขังศาลอาญา ตั้งเงื่อนไขไม่ค้านประกันหากไม่กลับไปชุมนุม หรือให้สัมภาษณ์กระทบคดี เจ้าตัวยันไม่ยื่นประกันเพราะรับไม่ได้กับข้อหาก่อการร้าย พร้อมยื่นค้านฝากขัง ศาลนัดฟังคำสั่ง บ่ายวันนี้
วันนี้ ( 19 ม.ค.) เมื่อเวลา 09.15 น. ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผกก.สส.บก.น.9 พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกำลังคอมมานโดกองปราบปราม กว่า 20 คน ควบคุมตัว นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อายุ 60 ปี และ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อายุ 53 ปี อดีตสมาชิกวุฒิสภา แกนนำเครือ ข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ผู้ต้องหาคดีร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมสนามบิน ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 2219/2553 และ 2223/2553 ลงวันที่ 15 ต.ค. 53 มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่ 19 - 30 ม.ค.นี้ ซึ่ง การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องรอผลการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และเสนอสำนวนต่อ ผบ.ตร. เพื่อมีความเห็นทางคดีตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนิน คดีอาญา พ.ศ.2523 ข้อ 9.1.5
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนระบุด้วยว่า ไม่ขอคัดค้านการประกันตัว หากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวแล้วจะไม่เข้าไปร่วมการชุมนุม หรือ กิจกรรมทางการเมืองอื่นใด อันมิใช่การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารหรือให้สัมภาษณ์ต่อสารณชนในทางที่เป็นอุปสรรคต่อการ สืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้
ตามคำร้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อ วันที่ 23 พ.ย.- 2 ธ.ค. 51 นายไชยวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายสมบูรณ์ ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งขณะนั้นได้ร่วมกับกลุ่มพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวปราศรัยพูดปลุกระดมให้กำลังใจผู้ชุมนุม บนเวทีหน้าทำเนียบรัฐบาล และ ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และสุวรรณภูมิ หลายครั้ง ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยพฤติการณ์ดังกล่าวผู้ต้องหาทั้งสอง ได้ทำหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากกลุ่มพันธมิตร ฯ ให้เป็นผู้พูดปราศรัยโดยมีข้อความที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนถึงขนาดจะก่อความ ไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร จึงถือได้ว่าผู้ต้องหาทั้งสอง ได้ร่วมกระทำผิดลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำกับผู้ต้องหาอื่นๆ ในคดีนี้ซึ่งได้ละเมิดกฎหมายหลายฉบับ หลายฐานความผิด โดยผู้ต้องหาทั้งสองรู้ถึงกระทำที่เล็งเห็นผลในการกระทำนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้ร่วมกระทำผิดซึ่งความผิดนั้น กำหนดโทษไม่ต่ำกว่า 6 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 และถือได้ว่าเป็นตัวการในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ทั้ง นี้ผู้ต้องหาทั้งสองได้ถูกจับกุมตามหมายจับเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ต้องหาที่ 1 ถูกกล่าวโทษรวม 9 ข้อหา ฐาน 1.ร่วมกันโฆษณา หรือ ประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำผิด ใช่กำลังประทุษร้าย เพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือ กระด้างกระเดื่องในหมูประชาชนถึงขนาดก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร 2.มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง 3. เข้า ไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข หรือ ไม่มีเหตุอันควรเข้าไปในอาการหรือสำนักงานที่อยู่ในการครอบครองของผู้อื่น 4. ฝ่าฝืนข้อกำหนดประกาศ หรือ คำสั่งของหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน 5.ทำลายหรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยาน ที่ให้บริการ 6. กระทำด้วยประการใดๆ ให้ทางสาธารณะอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจลาจล 7. กระทำด้วยประการใดๆ ให้การสื่อสารสาธารณะ ทางไปรษณีย์ขัดข้อง 8. ทำ ให้เสียหาย ทำลายทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และ 9.ก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215 , 216 , 229 , 235 , 358, 362 , 364 , 365 (1)(2) ,135/1 และความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ.2521 ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ถูกกล่าวโทษรวม 7 ข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215 , 216 , 229 , 235 , 362 , 364 , 365 (1)(2)
ศาลรับคำร้องไว้พิจารณา โดยสอบถามผู้ต้องหาทั้งสองแล้วคัดค้านการฝากขัง พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เนื่องจากเชื่อว่าการฝากขังของพนักงานสอบสวนมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลจึงเปิดห้องพิจารณา 910 เพื่อไต่สวนฉุกเฉิน
ทั้งนี้ก่อนเข้าห้องพิจารณา นายศักดิ์ชัย เข็มทอง ทนายความของ นาย ไชยวัฒน์ และนาย สมบูรณ์ เปิดเผยว่า หลังจากได้หารือกับนายไชยวัฒน์ และ นายสมบูรณ์ ยืนยันว่าจะไม่ดำเนินการยื่นขอประกันตัวทั้ง 2 คน เนื่องจากรับไม่ได้กับข้อกล่าวหาดังกล่าวของทางพนักงานสอบสวน แต่จะดำเนินการยื่นคัดค้านคำร้องฝากขังของทางพนักงานสอบสวนแทน
ต่อมาเวลา 11.00 น. ศาลเปิดห้องพิจารณาคดี 910 เพื่อไต่สวนคำร้อง โดยฝ่ายผู้ร้องมี พ.ต.อ.เอกรักษ์ ขึ้นเบิกความสรุปว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาให้ ผบ.ตร.พิจารณาเพื่อมีความเห็นส่งให้อัยการตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.53 ตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ.2523 ข้อ 9.1.5 ที่ระบุว่า คดีที่เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงหรือก่อการร้าย ต้องเสนอให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดพิจารณา ประกอบกับ ต้องรอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากร จึงจำเป็นต้องยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหา โดยชั้นจับกุมได้ดำเนินการตามหมายจับศาลอาญาและแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบ แล้ว
ขณะที่ทนายความของนายไชยวัฒน์ ได้ซักค้านพนักงานสอบสวนและพร้อมยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขังระบุว่า คดีนี้ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาร้ายแรงกว่าความเป็นจริง และขาดพยานหลักฐานที่ชัดเจน ทำให้ ผบ.ตร.พิจารณาคดีล่าช้า ทั้งที่คดีเกิดมากว่า 2 ปีแล้วและการสอบสวนคดีนี้เสร็จสิ้นแล้ว จะอาศัยเหตุดังกล่าวมาฝากขังไม่ได้ พนักงานสอบสวนต้องส่งสำนวนให้อัยการสั่งฟ้องภายในวันนี้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุคุมตัวผู้ต้องหาไว้ การขอฝากขังครั้งแรกจึงขอให้ศาลยกคำร้อง
ภายหลังไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว ศาลนัดฟังคำสั่งการฝากขังในช่วงบ่ายวันนี้
ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กระบวนการสอบสวนคดีของพนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นตามที่ผู้หากล่าวอ้าง เนื่องจากสำนวนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อลงความเห็นของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนจึงมีสิทธิฝากขังผู้ต้องหาได้ ศาลจึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาทั้งได้ตามคำร้องของพนักงานสอบสวน และให้ยกคำร้องคัดค้านของผู้ต้องหา
ด้าน นายศักดิ์ชัย เข็มทอง ทนายความผู้ต้องหา กล่าวว่าหลังจากหารือกับผู้ต้องหาทั้งสองแล้วยืนยันจะไม่ยื่นขอประกันตัว ทำให้ต้องถูกนำตัวไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป
“ไชยวัฒน์-สมบูรณ์” ไม่ขอประกันตัว ตร.ส่งนอนห้องขังกองปราบ