xs
xsm
sm
md
lg

“สิทธิศักดิ์” แจงศาลไม่มีอคติ ยึด 4.6 หมื่นล้าน “แม้ว” คืนแผ่นดิน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

โฆษกศาลยุติธรรมยันองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 ตัดสินคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของ “แม้ว” คืนแผ่นดินอย่างเที่ยงธรรม ไม่มีใครสั่งให้ซ้ายหันหรือขวาหันได้ ชี้วันนี้สังคมไทยอ่อนแอ แบ่งฝ่ายจากความเชื่อที่แตกต่างกัน สถาบันตุลาการถือเป็นสถาบันหลัก เป็นสมบัติของประชาชน หากศาลขาดความเชื่อถือจะเกิดศาลเตี้ยขึ้นมา จึงไม่ต้องการเห็น และไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้น เพราะจะเป็นกลียุค



คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ แถลงข่าว
 
วันนี้ (3 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.ที่สำนักงานศาลยุติธรรม ชั้น 12 อาคารศาลอาญา นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ทรัพย์ที่ได้มาจากการเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้คัดค้านที่ 1-5 จำนวน 46,373 ล้านบาท พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดินว่า ตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษา มีการวิพากษ์วิจารณ์จากความรู้สึกของประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน และสังคม ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งศาลยุติธรรมขอน้อมรับ เพราะเชื่อว่าคำวิพากษ์วิจารณ์นั้น ติชมด้วยความเป็นธรรม ถือเป็นส่วนที่ช่วยพัฒนากระบวนการยุติธรรม และเป็นกระจกเงาสะท้อนให้ผู้พิพากษา ในทางกลับกัน หากกระจกเงานั้นบิดเบี้ยว ติชมโดยไม่อยู่ในฐานของความเป็นจริง ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

นายสิทธิศักดิ์กล่าวว่า ศาลยุติธรรมได้ก่อตั้งมา 128 ปี ทั้งตุลาการที่ล่วงลับไปแล้ว และที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ทุกคน ถือเป็นคุณูปการทางการตุลาการ ผู้พิพากษาเปรียบเสมือนนักวิ่งพลัด ที่เปลี่ยนมารับหน้าที่รักษาทรัพย์สมบัติของชาติ และประชาชน งานของศาลไม่มีมิตรแท้ แต่มีศัตรูถาวร เพราะการตัดสินของศาลย่อมมีผู้แพ้และชนะ คนชนะจะมองว่าศาลให้ความยุติธรรม แต่ในมุมของคนแพ้จะมองว่าศาลลำเอียง เพราฉะนั้น ความยุติธรรมในความหมายของตนคือความพอใจ หากใครไม่พอใจความยุติธรรมของฝ่ายนั้นจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีผู้ให้ความเห็นบางคนวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นที่คลาดเคลื่อน ดังนั้น ในฐานะโฆษกศาลยุติธรรม ไม่มีหน้าที่ปกป้อง หรืออธิบายคำพิพากษา เนื่องจากคำพิพากษาขององค์คณะได้อธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกมา แต่คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะสามารถดาวโหลดคำพิพากษาฉบับเต็มได้ทางเว็บไซต์ของศาลฎีกาฯ

ส่วนคำวินิจฉัยส่วนตัวขององค์คณะทั้ง 9 นั้น จะปิดประกาศที่หน้าศาลฎีกาต่อไป โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้พิพากษาท่านใดมีมติ ในประเด็นต่างๆ อย่างไร

โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวว่า สำหรับประเด็นที่คลาดเคลื่อนประเด็นแรก คือ มีคนกล่าวว่า ศาลฎีกาฯ มีลักษณะยอมรับคำสั่ง คมช.ไปปฏิบัติ ศาลควรใช้กฎหมายในรัฐสภาเท่านั้น เรื่องนี้ขอชี้แจงว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 ถึงปัจจุบัน เกิดการปฏิวัติขึ้นมาหลายครั้ง เมื่อยึดอำนาจได้ คณะปฏิวัติ จะตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อรับรองความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจ ในรูปแบบประกาศ ซึ่งปัจจุบันยังมีการนำมาใช้ในประมวลกฎหมายอาญา หรือ พ.ร.บ.ต่างๆ ศาลเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติตราขึ้น ถ้ากฎหมายออกมาที่ชอบโดยหลักการแล้ว ศาลมีหน้าที่บังคับใช้และตีความกฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่เช่นนั้นจะถูกกล่าวหาว่าสองมาตรฐาน

นายสิทธิศักดิ์กล่าวว่า มีการเปรียบเทียบว่าการยึดทรัพย์ในสมัย รสช.กับ คมช. เมื่อที่มาของคำสั่งมีความแตกต่างกัน สมัย รสช.นั้น ตั้งคณะบุคคลขึ้นมาจัดการแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งพนักงานสอบสวน อัยการ ศาล มีการยึดทรัพย์สินทั้งหมดไว้ ก่อนจะเปิดช่องให้เรียกคืน

ส่วน คตส.นั้นแตกต่างกัน เมื่อมีการให้อำนาจ คตส.ไต่สวนตามกรอบเวลา ก่อนส่งให้อัยการฟ้องศาล หากทำไม่เสร็จก็ส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ เมื่อเข้าสู่กระบวนการศาล ก็เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้าน พิสูจน์ความจริงอย่างเต็มที่ ว่าทรัพย์ที่ได้มานั้นถูกต้องหรือไม่ มีความเป็นธรรมมากกว่า ประเด็นที่ 3 มีการกล่าวหาว่าคำพิพากษามีการตั้งธงไว้ เขียนเสร็จแล้ว จึงนำมาอ่าน ถือว่าผู้พูดพูดถูกแต่พูดไม่หมด รู้จริงแต่ไม่รู้แจ้ง เพราะตามรัฐธรรมนูญ ทั้งปี 40 และ 50 รวมถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุไว้ว่าให้ผู้พิพากษาทุกคนเขียนคำวินิจฉัยส่วนตัวเป็นหนังสือ ซึ่งความเห็นจะเหมือน หรือแตกต่างกันผู้พิพากษาทุกท่านมีความเป็นอิสระที่จะดำเนินการ โดยไม่ได้มีการกำหนดหรือปักธงคำพิพากษาเอาไว้ล่วงหน้า

นายสิทธิศักดิ์กล่าวว่า มีคนระบุว่าคำพิพากษาเป็นเสียงข้างมากไม่ระบุผลมติ ในเรื่องนี้ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ใช้เสียงข้างมากขององค์คณะผู้พิพากษา เป็นการใช้คำตามกฎหมาย ส่วนมติเท่าไหร่นั้น สามารถติดตามได้จากการปิดประกาศของศาลฎีกา ซึ่งเป็นเรื่องที่เปิดเผย ส่วนประเด็นที่ 5 ที่คนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดต้องอ่านคำพิพากษาทุกถ้อยคำ เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน เพราะการอ่านคำพิพากษาเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140 อนุมาตรา 3 ที่กำหนดให้ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาทั้งหมดโดยเปิดเผย ต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่าย

โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวต่อไปว่า มีผู้กล่าวหาว่าคดีนี้มีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง มีการตัดสินตามใบสั่งนั้น ขอชี้แจงว่า ในการเลือกองค์คณะทั้ง 9 ท่าน ต้องผ่านการลงคะแนนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ก่อนติดประกาศชื่ออย่างเปิดเผย ผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้คัดค้าน สามารถคัดค้านให้เปลี่ยนตัวผู้พิพากษา แต่ไม่มีใครคัดค้านจึงถือว่าไม่ติดใจ

สำหรับองค์คณะทั้ง 9 ท่าน เป็นระดับอดีตรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา และเทียบเท่ารองประธานศาลฎีกา รับราชการมาเป็นเวลา 40 ปี มีเกียรติคุณเป็นที่ประจักษ์ ได้รับการยอมรับในหมู่ผู้พิพากษา เพราะฉะนั้นยืนยันได้ว่าไม่มีใครที่จะมาสั่งให้ท่านใดซ้ายหันหรือขวาหันได้ ประเด็นที่ 7 ผู้พิพากษามีความเห็นที่ขัดแย้งกัน และควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ขอเรียนว่าผู้พิพากษามีความเห็นแตกต่างกันในข้อกฎหมาย บางครั้งจะเห็นว่าผู้พิพากษาถกเถียงกันเรื่องข้อกฎหมายจนหน้าดำคร่ำเครียด

ทั้งนี้ เพราะต้องการหาทางออกให้ดีที่สุด ไม่มีลักษณะที่โกรธกัน การเขียนคำพิพากษากลางนั้น จะนำประเด็นของคำพิพากษาส่วนตัวที่องค์คณะที่เห็นว่าดีที่สุดมาปรับแต่งเป็นคำพิพากษากลาง จึงไม่แปลกหรือมีพิรุธที่คำพิพากษากลางเขียนเสร็จในช่วงเช้าและอ่านคำพิพากษาในช่วงบ่าย ส่วนเรื่องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยนั้น เป็นการพิจารณาเฉพาะในคดีอาญา ไม่เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ที่เป็นคดีแพ่ง

นายสิทธิศักดิ์กล่าวว่า ที่กล่าวทั้งหมดไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องศาล แต่บางเรื่องประชาชนอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน วันนี้สังคมไทยอ่อนแอ เกิดการแบ่งฝ่ายจากความเชื่อที่แตกต่างกัน สถาบันตุลาการ ถือเป็นสถาบันหลัก เป็นสมบัติของประชาชน หากศาลขาดความเชื่อถือ ก็จะเกิดศาลเตี้ยขึ้นมา ตนไม่อยากเห็นและไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้น เพราะจะเป็นกลียุค ไม่มีใครเชื่อใคร ที่ผ่านมา 128 ปี ศาลยุติธรรม ตุลาการยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่มีเสื้อสีแดง สีเหลือง หรือสีน้ำเงิน ศาลเป็นตัวแทนของประชาชน ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ให้สังคมอยู่ได้โดยปกติสุข ขอให้ช่วยกันรักษาสถาบันหลักของชาติไว้ ประเทศไทยจะได้ไปรอด ประเทศปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถือว่าโชคดีมากแล้ว

โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวอีกว่า เรื่องที่มีผู้ออกมาพูดเรื่องสินบนตุลาการนั้น ได้เรียนให้นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการศาลฎีกาฯ ทราบแล้ว พร้อมกับหารือกับทางองค์คณะทั้ง 9 ท่าน ว่าการพูดจาในลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ศาลสมควรดำเนินการอย่างไร

ทั้งนี้ ศาลไม่มีปล่อยนิ่งดูดายในเรื่องดังกล่าว ต่อข้อถามเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่องค์คณะทั้ง 9 คน นายสิทธิศักดิ์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุปั่นป่วนด้วยการปาสิ่งปฏิกูล หรือวัตถุระเบิดขึ้นหลายครั้ง เราไม่อยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับองค์คณะผู้พิพากษา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง แต่ศาลก็ไม่ประมาทจัดการดูแลสวัสดิภาพขององค์คณะอย่างเต็มที่ รวมถึงดูแลบุคคลในครอบครัวของผู้พิพากษาอีกด้วย เช่นเดียวกับอาคารสถานที่ที่มีการจัดการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างดี เพื่อไม่ให้บั่นทอนขวัญและกำลังใจ

ต่อข้อถามเรื่องการลงพื้นที่ตรวจศาลของนายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคเหนือ ที่หลายฝ่ายหวั่นเกรงเนื่องจากเป็นพื้นที่ของกลุ่มเสื้อแดงนั้น นายสิทธิศักดิ์กล่าวว่า ประธานศาลฎีกา มีนโยบายตรวจราชการในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ โดยได้เดินทางไปให้กำลังใจแก่ข้าราชการตุลาการในพื้นที่มาแล้ว รวมถึงการสนับสนุนอุปกรณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนเรื่องจะเดินทางไปยังพื้นที่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้น เชื่อว่าประธานศาลฎีกา ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และไม่ได้คิดว่าเป็นพื้นที่ของสีอะไร อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จะทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้
นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม
พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
กำลังโหลดความคิดเห็น