xs
xsm
sm
md
lg

เอฟเฟ็กต์"คดีปกปิดหุ้น SC Asset" วิบากกรรมที่เพิ่งเริ่มต้น !!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


คดีประวัติศาสตร์ที่อัยการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้เงินของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เกิดจากความร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 76,621ล้านบาท พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน

จบลงด้วยคำพิพากษาขององค์คณะผู้พิพากษาด้วยมติ 7:2 พิพากษาว่าให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นกว่า 1,419 ล้านหุ้นและเงินปันผลหุ้นของ บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 46,373 ล้าน บาท พร้อม ดอกผลเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับตั้งแต่วันฝากเงินจน ถึงวันที่ธนาคารส่งเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน

ผลพวงของผลการตัดสินคดียึดทรัพย์ การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้อำนาจในสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจตนเองและครอบครัว ทำให้รัฐสูญเสียผลประโยชน์มากมายมหาศาล หลังจากนี้จะเกิด"ปฏิกิริยาลูกโซ่"อีกหลายทอด ซึ่งหน่วยงานหลายฝ่ายกำลังปฏิบัติการ "รับลูก" รวบรวมหลักฐานคัดสำนวนจากคำตัดสินของศาลนำไปสู่การเอาผิดทางกฎหมายทั้งทางอาญาและแพ่งอีกหลายกรณี

ถึงแม้การตัดสินจะจบลงไปแล้ว แต่"กรรม" ที่พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวรวมไปถึงเครือญาติ ที่ร่วมกันก่อไว้จะถูกขยายผลเป็น"วิบากกรรม"ให้เห็น ชัดเจนขึ้นนับจากนี้ไป

หากมาดูประเด็นแรกที่ศาลได้ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริง คือการ"ซุกหุ้น" มีพฤติกรรมอำพราง โดยใช้คนในครอบครัวและเครือญาติถือครองหุ้นแทนเป็น"นอมินี" ทั้งบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์และบริษัทวินมาร์ค ลิมิเต็ด

"ตัวละคร"อย่างบริษัทวินมาร์ค ลิมิเต็ด จะมีบทบาทขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งทันที หลังจากชัดเจนแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของตัวจริงที่เกี่ยวพันเชื่องโยงใน"คดีปกปิกโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซี แอสเซท" ซึ่งทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือก.ล.ต.ได้สืบค้นประสานขอข้อมูลจากต่างประเทศเป็นเวลานาน ที่สุดแล้วได้ส่งข้อมูลให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการและคดีได้บรรจุเข้าเป็นคดีพิเศษ โดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550

ห้วงเวลาที่ "สุนัย มโนมัยอุดม"ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีดีเอสไออยู่ ได้สืบสวนทางลึกเพื่อมาตีแผ่ความไม่ชอบมาพากลของการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น จนสามารถส่งสำนวนดังกล่าวให้แก่อัยการเพื่อดำเนินการสั่งฟ้องคดี

จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงยุคการเมืองเปลี่ยนมือ มาเป็น "พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง" เป็นอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งขณะนั้นอัยการ ที่มี"ชัยเกษม นิติสิริ" ยังนั่งตำแหน่งอัยการสูงสุดอยู่ ได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดี ซึ่งอ้างว่า กฎหมายไม่เข้าข่ายความผิด และดีเอสไอจึง "ตามน้ำ" ไม่มีความเห็นแย้งต่ออัยการ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าโยกย้าย พ.ต.อ.ทวี มาเพื่อเป่าคดีนี้ให้หายเข้ากลีบเมฆไป ?!

เมื่อย้อนกลับไปดูจากสำนวนคดี สาระสำคัญที่ดีเอสไอสอบสวนจึงพอสรุปได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โอ เอ ไอ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ปัจจุบันคือบริษัทเอสซี แอสเซท (ลงทุนเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์) ในช่วงกลางปี 2543 ทักษิณและภรรยาได้ขายหุ้นเอสซี แอสเซทและหุ้นบางส่วนของบริษัทในครอบครัวอีก 5แห่ง ได้แก่ 1.บริษัท พีที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด 2.บริษัท เวิร์ธ ซัพพลาย จำกัด 3.บริษัท บี.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 4.บริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด 5.บริษัท เอส ซี ออฟฟิส ปาร์ค จำกัด ให้แก่ Win Mark Limited ซึ่งเป็นบริษัทจด ทะเบียนที่บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ (BVI) รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,527 ล้าน บาท ซึ่งเงินดังกล่าวของบริษัทวินมาร์คฯ เป็นเงินของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง โอนเข้ามาเพื่อซื้อหุ้นบริษัทของตนเอง (ขณะนั้นยังไม่มีใครทราบว่าแท้จริงแล้ว บริษัทวินมาร์ค เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ )

หลังจากนั้นวันที่ 11 สิงหาคม 2546 Win Mark ได้โอนหุ้น SC Asset ที่มีอยู่ทั้งหมดให้Value Investment Mutual Fund Inc. (VIF) และวันที่ 1 กันยายน 2546 VIF ได้โอนหุ้น SC Asset ทั้งหมดให้แก่ Overseas Growth Fund Inc. (OGF) และ Offshore Dynamic Fund Inc. (ODF) ต่อมา SC Asset ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 ซึ่ง OGF และ ODF ได้ ถือหุ้น SC Asset มาโดยตลอด จนกระทั่งประมาณ เดือนเมษายน-สิงหาคม 2549 OGF และ ODF จึงได้ทยอยขายออกไปในตลาดหลักทรัพย์ฯ จน หมด ( 3 กองทุน (VIF) (OGF) (ODF) ยังตรวจพบอีกว่า มีที่อยู่แห่งเดียวกัน เกาะลาบวน ประเทศมาเลเซีย )

พบพิรุธที่สำคัญจุดหนึ่งที่ชี้เป้าว่าผู้ได้ประโยชน์แท้จริงแล้วเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ คือ วินมาร์คได้ลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เอส ซี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 หลัง จากนั้นอีก 3 ปี คือในวันที่ 19 สิงหาคม 2546 ก็ได้โอนหุ้นทั้งหมดให้บริษัท Value Assets Funds Ltd. สัญชาติมาเลเซีย เท่านั้นไม่พอ 3 อาทิตย์ ต่อมา คือเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2546 บริษัท Value Assets Funds Ltd. ก็โอนหุ้นทั้งหมดให้ 2 กองทุนมาเลเซีย คือกองทุน OGF และ ODF

สังเกตให้ดีจะพบว่าการโอนหุ้นเหล่านี้เกิดขึ้นใกล้ๆ ช่วงเวลาที่หุ้นบริษัท เอส ซี กำลังดำเนินการเพื่อจดทะเบียนนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้นย่อมหมายถึงหุ้นที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มทุนของนักลงทุนทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์

แต่กองทุนทั้งสองคือวินมาร์คและ Value Assets Funds Ltd. ไม่เลือกทางนั้น กลับโอนสิทธิ์ในการเพิ่มทุน จำนวนถึง 71 ล้านหุ้นให้กับลูกสาวทั้งสองของ พ.ต.ท.ทักษิณ

หุ้นของบริษัท เอสซี ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 ราคาปิดที่ 27 บาท/หุ้น ทำให้กองทุนจากมาเลเซีย เสียผลประโยชน์ไปเกือบ 2,000 ล้านบาท คนที่ได้ประโยชน์คือลูกสาวทั้งสองของพ.ต.ท.ทักษิณ

ภายหลังยังตรวจพบ"ตัวละคร" ที่ถือครองหุ้นวินมาร์คอยู่อีกคือ บริษัทบลูไดมอนด์ ซึ่งได้ถือหุ้นวินมาร์ค 100 เปอเซ็นต์ โดยมีบริษัทซิเนตร้า ทรัส บริหารจัดการโดยกลุ่ม "แมธีสัน ทรัสต์" ซึ่งจุดนี้เป็น "กุญแจสำคัญ"ที่ไขข้อสงสัยทั้งหมด โดยบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ที่ฮ่องกงและเป็นผู้จัดตั้ง บูลไดมอนด์, ซิเนตร้า ทรัส รวมไปถึง "วินมาร์ค"นั้นเอง ทั้งยังพบอีกว่าเอกสารของบริษัทซิเนตร้า ทรัส ระบุว่าผู้ได้รับประโยชน์ คือพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว โดยได้ว่าจ้าง" แมธีสัน ทรัสต์" เป็นผู้จัดการ

ส่วนความเชื่องโยงระหว่าง บริษัทวินมาร์คกับบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ คือพบหลักฐานธนาคารยูบีเอส เอจี สิงคโปร์ เป็นธนาคารที่ดูแลจัดการบัญชีของบริษัททั้งสองอีกด้วย ระบุอีกว่าผู้มีอำนาจลงนามคือคนเดียวกัน ระบุชื่อ "T.Shinnavat"

หุ้นเอสซี แอสเสท ที่วิ่งวนอยู่กับ"บริษัทนอมินี"ของ พ.ต.ท.ทักษิณ สุดท้ายแล้วก็กลับไปอยู่กลับคนในครอบครัวชินวัตรในช่วงกลางปี 2549 ก่อนที่เทขายให้กลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ของสิงคโปร์ ทำให้ได้กำไรจากการขายหุ้นมากมาย แต่กลับไม่ได้มีการเสียภาษีแต่อย่างใด

สำนวน"อัฐยายซื้อขนมยาย" คงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากกรณีดังกล่าวเท่าใดนัก

ทั้งหมดทั้งปวง ชี้ให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ทำการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แท้จริงของหุ้นเอส ซี แอสเซจ โดยได้"อุปโลก" บริษัทและกองทุน "ภูเขาน้ำแข็ง"ทั้งหลายขึ้นมา โดยเป็น"นอมินี"ถือครองหุ้นชินคอร์ปแทน

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาดูความผิดตามข้อกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณและผู้ที่เกี่ยวข้องที่อาจเข้าข่ายความผิดใน "มหกรรมโกงชาติ"หลายกรณี อาทิ

บริษัทเอสซี แอสเซท เปิดเผยแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะไม่ได้นำหุ้นที่ถือแทนโดย กองทุน OGF และ ODF มานับรวมกับการถือหุ้นของครอบครัวถือว่าการกระทำของบริษัทเอสซี แอสเซท เข้าข่ายความผิดมาตรา 278 ของพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนางบุษบา ดามาพงษ์ (ภรรยานายบรรณพจน์ ) อดีตผู้บริหารได้ร่วมลงนามรับรองความถูกต้อง เข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 301 พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5ปี ปรับไม่เกิน2เท่า ของราคาหลักทรัพย์

ตามที่กองทุน OGF และ ODF ซึ่งเป็นนิติบุคคลอำพรางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขายหุ้นเอสซี แอสเซท ออกไปในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี2549 ซึ่งเจ้าของที่แท้จริงต้องรายการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นเอสซี แอสเซท ตาม มาตรา 246 พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ทุกครั้งที่จำหน่ายหุ้นทุก 5 เปอเซ็นต์ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วของกิจการนั้น โดยมีหน้าที่จะต้องรายงานถึง 4 ครั้ง แต่จากการไม่รายงานทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้าข่ายความผิดมาตรา 98 ประกอบมาตรา 246 พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5ปี ปรับไม่เกิน 2 เท่าของราคาหลักทรัพย์

การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ได้ทำการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นดังกล่าว เป็นการจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ และอาจกระทำการอันมีลักษณะเข้าไปบริหาร ครอบงำหรือจัดหาผลประโยชน์ในหุ้นของบริษัทต่างๆ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดพ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

อีกทั้งในส่วนบรรดาลูกและเครือญาติ อาจจะถูกดำเนินคดีอาญา ในฐานบุตรและภริยาจะตกเป็นจำเลยร่วมฐานปกปิดรายการทรัพย์สินและสนับสนุนการกระทำความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งฐานที่เบิกความอันเป็นเท็จต่อศาล !!

ยังรวมไปถึงเหล่าบรรดากรรมการในบริษัท เอสซี แอสเสท อีกหลายคนที่ร่วมกันปกปิดอำพรางโครงสร้างผู้ถือหุ้น เนื่องจากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การไม่รายงานการซื้อขายที่แท้จริงทำให้นักลงทุนในตลาดต้องเสียผลประโยชน์

เมื่อดูจากมุมกว้างแล้ว ผู้ที่อาจจะเจอ"แจ็คพ็อต"ไปด้วย ในฝั่งของทางเจ้าหน้าที่รัฐคงไม่พ้น"อัยการ"และ"ดีเอสไอ"ในช่วงที่ไม่ได้มีการสั่งฟ้องสำนวนคดีดังกล่าว ซึ่งอาจจะเข้าข่าย ม.157 ป.อาญา ฐานปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึ่งสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งหมดยังถือว่าเป็นเพียงความผิดเบื้องต้น ที่หลังจากนี้หน่วยงานทั้ง ดีเอสไอ อัยการ และ ก.ล.ต. รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณี จะเกิด "เอฟเฟ็กต์" ตาม"เช๊คบิล"เอาผิดในทางกฎหมายทั้งทางอาญาและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งอีกมากมาย

เมื่อ"เจตนา"ก่อเกิด"กรรม"...... เมื่อก่อกรรม ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญกับ"วิบากกรรม"

แม้"คำพิพากษา"จะจบลงไปแล้ว แต่"วิบากกรรม" หลังจากนี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น !!

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
สุนัย มโนมัยอุดม
ชัยเกษม นิติศิริ
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
กำลังโหลดความคิดเห็น