เวลา 04.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทวิีตผ่านเว็บไซต์ http://www.thaksinlive.com ข้อความว่า “ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร น้ำใจของพี่น้องที่ห่วงใยและคอยให้กำลังใจผมและครอบครัวนั้นมันยิ่งใหญ่ที่ผมและครอบครัวจะจดจำไปนานแสนนานไม่มีวันลืม ขอยืนยันว่าเงินทั้งหมดเป็นเงินที่ผมและครอบครัวหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานมันสมอง ไม่เคยโกงดังที่ถูกกล่าวหา เมื่อปี 2537 แสดงบัญชีไว้กว่า 60,000 ล้าน”
นอกจากนี้ยังทวีตถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ลูกสาวคนเล็ก เป็นภาษาอังกฤษ ว่า “นอนหลับให้สนิท อย่ากังวลไปเลย เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นลูกรัก” (Sleep tight, don′t worry. We will be together forever regardless what′s happening loog rak)
เวลา 05.00 น.เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มเปิดประตู 4 ให้สื่อมวลชนนำรถถ่ายทอดสด และอุปกรณ์การถ่ายทอดเข้ามาติดตั้งภายในพื้นที่ศาลฎีกา เพื่อเตรียมรายงานข่าวความเคลื่อนไหวในวันอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์
เวลา 06.00 น.มีการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 กองร้อย ดูแลพื้นที่โดยรอบศาลฎีกา โดยเป็นกำลังจากบก.น.1 บก.น.6 และบก.อคฝ. นอกจากนี้มีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจำนวน 50 นาย มาดูแลการจราจรบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ มีการขยายจุดตรวจค้น จากเดิม 5 จุด เป็น 8 จุด ได้แก่ ถ.อัษฎางค์ ด้านหลังศาลฎีกา ถ.สนามไชย และถนนหน้าพระลาน บริเวณแยกป้อมเผด็จดัสกร
เวลา 06.20 น.เจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191 นำเครื่องตรวจวัตถุระเบิดมาติดตั้งบริเวณประตู 4 ซึ่งเป็นประตูทางเข้า เพื่อตรวจหาวัตถุต้องสงสัยจากบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ศาล โดยเจ้าหน้าที่จะเปิดให้บุคคลและสื่อมวลชนที่เข้าฟังการตัดสินคดีผ่านเข้าทางประตู 4 เพียงประตูเดียวเท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่ รปภ.ของศาลฎีกาได้มีการตรวจตรารถยนต์ทุกคนคันที่เข้ามาภายในพื้นที่ศาลอย่างเข้มงวด
เวลา 06.50 น. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.พร้อมด้วย พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น.และ พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ รอง ผบช.น. เดินมามายังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยการรักษาความปลอดภัย โดย พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวว่า ตำรวจนครบาลมีความพร้อมในการดูแลความสงบเรียบร้อย โดยมีการวางกำลังตำรวจปราบจลาจล 1 กองร้อยภายในพื้นที่ศาลฎีกา ขณะพื้นที่โดยรอบศาลมีการวางกำลังตำรวจปราบจลาจล 3 กองร้อย ซึ่งเป็นกำลังจาก บก.น.1 บก.น.5 และ บก.น.6 นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของ บก.น.1 จำนวน 70 นาย ตามจุดอับและจุดที่มีคนพลุกพล่าน ขณะเดียวกันก็มีการวางกำลังพลแม่นปืนตามจุดสูงข่มบนอาคารสูง เพื่อป้องกันเหตุร้าย เชื่อมั่นว่าไม่มีเหตุรุนแรงหรือความวุ่นวายเกิดขึ้น
เวลา 07.00 น.องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่าน ประกอบด้วย นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา ในฐานะเจ้าของสำนวนคดียึดทรัพย์ นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา, นายพิทักษ์ คงจันทร์ ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา, นายพงศ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ ผู้พิพากษาอาวุโส ในศาลฎีกา, นายอดิศักดิ์ ทิมมาศย์ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา, ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา, นายประทีป เฉลิมภัทรกุล ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา, นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และนายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา ได้เดินทางมาถึงศาลฎีกา โดยรถแลนด์โรเวอร์สีดำกันกระสุน 9 คัน ในรถแต่ละคันมีตำรวจประกบภายในรถ
ขณะเดียวกัน มีรถตู้ขนเอกสารสำนวน ตามในขบวนด้วย เมื่อถึงอาคารศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืององค์คณะทั้งเก้า ได้เดินทางขึ้นไปยังห้องประชุมใหญ่บนอาคาร เพื่อประชุมองค์คณะเสนอคำวินิจฉัยส่วนตัวมาพิจารณาร่วมกันเพื่อลงมติเขียนคำพิพากษาที่นัดอ่านคำพิพากษาเวลา 13.30 น. โดยการลงมติองค์คณะพิพากษาคดีแต่ละประเด็นจะยึดถือเสียงข้างมาก
เวลา 07.30 น. เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งสื่อมวลชนว่าจะมีการตัดสัญญาณโทรศัพท์บริเวณศาลเพื่อป้องกันการจุดระเบิด ตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
เวลา 09.35 น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เปิดเผยว่า ได้วางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 กองร้อย ดูแลรอบนอกศาล ส่วนอีก 1 กองร้อยรวมถึงชุด ปะ-ฉะ-ดะ จำนวน 35 นาย จะดูแลความเรียบร้อยภายในศาล อีกทั้งได้แบ่งเจ้าหน้าที่อีก 40 นาย คอยตรวจสอบกระเป๋าสัมภาระคนเข้าออกภายในศาลด้วย รวมทั้งตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือระบบเอไอเอสเป็นช่วง ๆ เพื่อป้องกันความสงบเรียบร้อย
เวลา 10.10 น. คณะทำงานอัยการคดียึดทรัพย์นำโดยนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายเศรษฐกิจและทรัพยากร นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ และนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือกฎหมายประชาชน ได้เดินทางโดยรถตู้มาถึงศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ปรากฏว่ายังไม่ถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่จะเปิดให้เข้าไปยังห้องพิจารณาคดี ดังนั้น ทั้งหมดจึงต้องเดินทางไปพักที่สำนักงานอัยการสูงสุด และจะเดินทางกลับมาอีกครั้งในเวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่จะสามารถเข้าไปภายในศาลได้
เวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณประตู 4 ทางเข้าศาลฎีกา ในฝั่งตรงข้ามศาลหลักเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดให้ประชาชน จำนวน 120 คน ที่ได้รับการอนุญาตให้เข้าฟังการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้ามาภายในศาลได้ โดยมีการตรวจสัมภาระ ตรวจค้นอาวุธ และตรวจสอบตามร่างกายอย่างละเอียดเข้มงวด เพื่อป้องกันความปลอดภัยภายในศาล ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ชุดจู่โจม ปะ-ฉะ-ดะ ได้ขับรถจักรยานยนต์ตระเวนตรวจบริเวณโดยรอบศาลฎีกา เพื่อป้องกันมือที่ 3 เข้ามาก่อความวุ่นวายด้วย
เวลา 13.30 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์เริ่มอ่านคำพิพากษาแล้ว โดยเป็นการอ่านคำฟ้องของพนักงานอัยการก่อน
เวลา 16.00 น. ศาลฎีกาอ่านคำวินิจฉัยในประเด็นแรก คือ ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีหรือไม่ โดยศาลได้วินิจฉัยว่า การตรวจสอบของคตส. เป็นไปตามกฏหมาย และเป็นไปตามอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ เป็นมติเอกฉันท์
เวลา 16.30 น. ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นที่ 2 กรณี คตส.มีอำนาจถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า เป็นการดำเนินการภายใต้ขอบอำนาจตามประกาศคปค.ฉบับที่ 30 เห็นว่า คตส.ใช้อำนาจตามประกาศคปค. สามารถแต่งตั้งได้ ทั้งหมดเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฏหมาย และคดีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา แต่เป็นคดีแพ่ง โดยมีมติเอกฉันท์
เวลา 17.10 น. ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นที่ 3 กรณีปกปิดอำพรางหุ้น โดยวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ ยังถือหุ้นไว้ แต่ปี 2549 รวบรวมหุ้นทั้งหมดขายให้เทมาเส็ก โดยมีการโอนหุ้นให้กับผู้คัดค้านหลายคนจริง และควบคุมนโยบายของผู้ถูกกล่าวหาผ่านทางคณะกรรมการบริษัทชินคอร์ป จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ว่าผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 มีหุ้นในเทมาเส็ก
เวลา 17.45 น. ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นที่ 4 ในการเอื้อประโยชน์บ.ชินคอร์ป เป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไปกว่า 6 หมื่นล้านบาท ด้วยมติเสียงข้างมาก
เวลา 18.40 น. ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นที่ 5 กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ศาลวินิจฉัยว่า ภาระเอไอเอสลดน้อยลง แต่มีรายได้เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 44-49 โดยลำดับ ตั้งแต่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ศาลฎีกาฯจึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า ผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้อง ในการแก้ไขสัญญาดังกล่าว และผู้ถูกกล่าวหามีหุ้นในชินคอร์ป ผลประโยชน์จึงตกแก่ผู้ถูกกล่าวหา เงินที่ขายหุ้นให้เทมาเส็ก จึงได้มาโดยไม่สมควร
เวลา 19.15 น. ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นที่ 6 กรณีละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ศาลวินิจฉัยว่า เป็นการกระทำที่ลัดขั้นตอน รีบเร่ง ผิดปกติวิสัย ดาวเทียม IP STAR ไม่ได้เป็นดาวเทียมหลัก แทนไทคม 3 เป็นดาวเทียมใช้สื่อสารต่างประเทศ ผิดสัญญาตามที่ระบุว่า ใช้สื่อสารในประเทศ จึงอยู่นอกกรอบสัญญา จึงมีมติด้วยคะเสียงข้างมาก ว่าเป็นการได้รับสัมปทานไปโดยไม่มีคู่แข่ง เอื้อประโยชน์ให้บ.ชินคอร์ป และบ.ไทคม ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท
เวลา 20.45 น. ศาลมีมติด้วยเสียข้างมาก ให้ยึดทรัพย์ที่ต้องตกเป็นของแผ่นดินจำนวน 46,373,687,454.70 บาท