“พานทองแท้-พินทองทา” ร้องศาลฎีกานักการเมือง สั่ง คตส.หยุดให้สัมภาษณ์ชี้นำคดียึดทรัพย์ทักษิณ 7.6 หมื่นล้าน จนกว่าจะมีคำพิพากษา
วันนี้ (11 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.15 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้คัดค้านที่ 2 และ 3 ในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งห้ามมิให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ ซึ่งอาจจะเป็นการทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด
คำร้องสรุปว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าของเงินที่ได้จากการขายหุ้นให้กองทุนเทมาเส็กซึ่งถูก คตส.อายัด จำนวน 17,176,205,332.07 บาท และผู้คัดค้านที่ 3 ถูกอายัดจำนวน 23,539,881,102.87 บาท ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้ว และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.นี้ เวลา 13.30 น. ผู้คัดค้านทั้งสองเห็นว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาสำคัญที่องค์คณะผู้พิพากษากำลังวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทั้งหมดในคดีอย่างละเอียดรอบครอบ เพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปได้โดยถูกต้องเป็นธรรมตามกฎหมาย จึงไม่สมควรที่จะมีบุคคลใดให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิด แต่ปรากฏว่าขณะนี้มี คตส.บางคนให้ข่าวสื่อมวลชนด้วยการวินิจฉัยกฎหมายและความเข้าใจของตนให้ประชาชนเข้าใจผิดและหลงชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บิดา กระทำผิดจริงและต้องถูกยึดเงินทั้งหมดจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ถือเป็นการก้าวก่ายกระบวนการพิจารณาของศาล อีกทั้ง เมื่อวันที่ 16 ม.ค.53 นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีต คตส.ได้เขียนคอลัมน์ ชื่อ “ยึดทรัพย์ไม่เลื่อน คตส.ชงยึดทั้งก้อน” ใน นสพ.ผู้จัดการรายวัน ทำนองว่า “ตามหลักการแล้วคดีร่ำรวยผิดปกติจะต้องยึดทั้งหมด” และเมื่อวันที่ 18 ม.ค.53 นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.อีกคนได้ให้สัมภาษณ์คอลัมน์ใน นสพ.มติชน เกี่ยวกับ “ทฤษฎีวัวกินหญ้าต้องยึดทั้งตัว”
การที่บุคคลทั้งสองให้สัมภาษณ์ความเห็นว่าจะต้องยึดเงินทั้งหมดว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากทำผิด จึงเป็นการให้ความเห็นในทางกฎหมายที่ไม่เป็นความจริง เป็นการบิดเบือนประชาชนให้หลงเข้าใจผิดและเป็นผลร้ายต่อผู้คัดค้านทั้งสอง ทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่ชื่อเสียง เกียรติยศและทรัพย์สิน ตลอดจนอนาคตของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง จึงขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้บุคคลที่เคยเป็น คตส.ให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนในลักษณะที่เป็นการชี้นำซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรูปคดี จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ภายหลัง น.ส.พินทองทา กล่าวว่า มายื่นคำร้องเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับครอบครัว โดยเฉพาะตนและพี่ชาย เนื่องจากตอนนี้การพิจารณาคดีอยู่ที่ศาลแล้วแต่มีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์คดีนี้โดยที่ไม่ได้ทราบความจริงทั้งหมด ทำให้มีผลต่อการชี้นำประชาชนเข้าใจผิด ที่ผ่านมาเราสองคนต้องใช้ความพยายามมากแล้วที่ต้องเป็นอยู่ทุกวันนี้ ขอให้ทุกคนอยู่รอฟังการตัดสินของศาล
ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกกังวลใจ เรื่องผลคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.นี้หรือไม่ น.ส.พินทองทา กล่าวว่า ก็ไม่ได้กังวล ได้แต่ทำใจให้นิ่งๆ เพราะการที่เราได้มาทุกวันนี้ก็ยังมีความเชื่อมั่นอยู่แล้ว ขณะนี้ได้แต่อธิฐาน ความอึดอัดมันมีอยู่แล้วเป็นเวลา 2 -3 ปี ตั้งแต่มีคดี อย่างที่สื่อมวลชนทราบดี
ด้าน นายพานทองแท้กล่าวว่า นายแก้วสรร อดีต คตส.ที่ออกมาพูดเกี่ยวกับทฤษฎีวัวควาย เป็นการใช้ความรู้ทางกฎหมายที่ทำให้ประชาชนสับสน ทำนองว่าถ้าวัวไปกินหญ้าของคนอื่นแล้ววัวอ้วนขึ้นมาต้องยึดวัวทั้งตัว จะยึดเฉพาะแขนขาไม่ได้ ถ้ามองมุมกลับกัน ตนเป็นเจ้าของหญ้าแล้ววัวมากิน แล้วตนยึดวัวทั้งตัวไว้ตนจะโดนข้อหาลักทรัพย์ แต่ถ้าร่วมกันกระทำการมากว่า 1 คนขึ้นไป ภาษากฎหมายเรียกว่าปล้นทรัพย์ ทำให้ตนรู้สึกว่าเหมือนถูกปล้นทรัพย์อยู่ อยากให้ลองมองมุมกลับกันบ้าง เพราะตนก็อยู่กันอย่างลำบากพอสมควร
“ฝากถึงพี่น้องเกษตรกรระหว่างรอประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบให้เลิกปลูกข้าว มาปลูกหญ้าแล้วเอารั้วออกแล้วทุกคนจะมีวัวขายกัน ขอบอกว่าทุกคนจะไม่ผิดเพราะเค้าเอากฎหมายมาปิดเบือนกัน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการให้สัมภาษณ์นายพานทองแท้ ได้บอกกับสื่อมวลชนไม่ให้รุมล้อมเข้าใกล้ น.ส.พินทองทา มากนักเนื่องจากพึ่งออกจากโรงพยาบาล โดยมีนางพยาบาลติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
ด้าน นายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา กล่าวว่า เมื่อ คตส.ส่งสำนวนให้อัยการแล้วถือว่าหมดหน้าที่ ไม่ควรที่จะออกมาให้สัมภาษณ์เพราะจะกระทบรูปคดี จึงต้องรอดูอีก 1-2 วันว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างไร และอยากให้อดใจรออีก 2 สัปดาห์ ที่ศาลจะมีคำพิพากษาออกมา
เมื่อซักว่า ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มเสื้อแดงก็มีการปราศรัยและให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการตัดสินคดีของศาลนั้น นายกิตติพรกล่าวว่า ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตข้อความว่าอย่างไร และกลุ่มเสื้อแดงให้สัมภาษณ์อย่างไร แต่เห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรจะระมัดระวังคำพูด