xs
xsm
sm
md
lg

“อังคณา” จี้ดีเอสไอทบทวนหลักฐานคดี “ทนายสมชาย”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยานายสมชาย นีละไพจิตร เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าในคดีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร
“อังคณา” ภรรยาทนายสมชาย เข้าพบ “ธาริต” สอบถามความคืบหน้าคดี เกรงดีเอสไอเร่งรัดสั่งฟ้อง แนะให้มุ่งสอบพยานแวดล้อมมากว่าหาศพ เชื่อ หลักฐานที่ดีเอสไอมีอยู่ไม่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ ด้านอธิบดีดีเอสไอยอมรับบกพร่องทำพยานในความคุ้มครองหายตัวไปกว่า 1 ปี สั่งตั้งกรรมการสอบแล้ว พร้อมดูแลพยานที่เหลืออย่างดี

วันนี้ (18 ม.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยานายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิมที่ถูกอุ้มฆ่าเสียชีวิต เมื่อปี 2547 เดินทางเข้าพบ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าในคดีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ภายหลังมีกระแสข่าวว่าดีเอสไอจะเร่งสั่งฟ้องคดีนายสมชายโดยเทียบเคียงจากการสั่งฟ้องคดีอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย

นางอังคณากล่าวว่า คดีการหายตัวไปของนายสมชายยังไม่มีความคืบหน้า จึงมาสอบถามความคืบหน้าด้วยตัวเอง ซึ่งตนมีความเป็นห่วงกรณีที่ดีเอสไอจะเร่งรัดสั่งฟ้องคดีของนายสมชาย เห็นว่าคดีทนายสมชายเพิ่งผ่านไปเพียง 6 ปี ยังเหลืออายุความอีก 14 ปี ต่างจากคดีของอัลรูไวรีที่มีข้อจำกัดใกล้จะหมดอายุความ แต่อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ต้องการรอให้คดีนานเป็น 10 ปี แต่ต้องการให้ดีเอสไอให้ความสำคัญกับการเร่งรัดคดีหรือรวบรวมพยานหลักฐานมากกว่าการเร่งรีบฟ้องคดี เพราะเชื่อว่าพยานหลักฐานที่ดีเอสไอมีอยู่ตอนนี้ ไม่แน่นหนาพอที่จะให้ศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดได้ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะรีบฟ้องคดี แต่สุดท้ายแล้วศาลพิพากษายกฟ้อง ปล่อยตัวผู้ต้องหาไปเหมือนเดิม

ภรรยานายสมชายกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาแนวทางการทำงานวนเวียนอยู่กับการหาศพ โดยเฉพาะการค้นหาถังน้ำมันที่เชื่อว่าใช้เป็นที่ทำลายศพนายสมชาย ซึ่งแนวทางดังกล่าวคงไม่เป็นประโยชน์ แต่ต้องการให้ดีเอสไอมุ่งสอบสวนไปที่พยานแวดล้อม เช่น การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะเชื่อว่าการหายตัวของนายสมชายมีตำรวจระดับสูงเกี่ยวข้องนอกเหนือจากตำรวจ 5 รายที่ถูกฟ้องดำเนินคดีก่อนหน้านี้ เนื่องจากในการนำสืบพยานชั้นศาล ตำรวจหลายคนนำสืบว่าไม่รู้จักและไม่มีเรื่องโกรธอันจะเป็นมูลเหตุให้ฆ่านายสมชาย ดังนั้น น่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับที่สูงกว่าเป็นผู้บงการ นอกจากนี้ พยานในคดีที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวของนายสมชาย ซึ่งอยู่ระหว่างการคุ้มครองของดีเอสไอหายตัวไป 1 คน เกรงว่าจะกระทบกับความเชื่อมั่นและดูแลความปลอดภัยของพยานที่เหลืออีก 2 คน

“พยานที่หายตัวไป คือ นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี ที่หายตัวไป เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.52 ที่ผ่านมา ขณะกลับไปเยี่ยมครอบครัวช่วงเทศกาลปีใหม่ของชาวมุสลิม (ฮารีรายอ) ซึ่งที่ผ่านมาพยานที่อยู่ในความดูแลของดีเอสไอ มีความเป็นอยู่ที่ไม่เหมาะสมนัก เพราะจะต้องอยู่แต่ในห้องตลอดเวลา ไม่ได้ออกไปไหน ทำให้เกิดความอึดอัด ซึ่งอธิบดีดีเอสไอ รับปากว่าจะดูแลความเป็นอยู่ของพยานให้ดีขึ้น” นางอังคณากล่าว

ด้าน นายธาริตกล่าวว่า การสืบสวนในทางการข่าว บ่งชี้ว่าคดีการหายตัวไปของนายสมชายมีผู้กระทำผิดมากกว่า 5 คน ซึ่งที่เคยถูกฟ้องไปก่อนหน้านี้ ในส่วนของดีเอสไอจำเป็นต้องรอความชัดเจนในประเด็นหลักฐานก่อนจะเรียกตัวผู้ต้องสงสัยมาให้การ ขณะนี้ตนได้ทบทวนการสอบสวนคดีใหม่ด้วยการเพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนพร้อมจัดห้องทำงานเฉพาะเพื่อประมวลการทำงานทุกสัปดาห์ และปรับแผนให้มีการประสานงานความคืบหน้าเป็นระยะ โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับนางอังคณาที่ไม่ควรมุ่งหาศพเพียงอย่างเดียว แต่ควรมุ่งไปที่พยานแวดล้อมและไม่จำกัดอยู่เพียงผู้ต้องสงสัย 5 คน

ส่วนการดูแลพยานในความคุ้มครองของดีเอสไอ นายธาริตกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีชัดเจนว่าพยานที่หายตัวไปกว่า 1 ปี เสียชีวิตแล้วหรือไม่ เบื้องต้นต้องยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของทั้ง 2 ฝ่าย คือเจ้าหน้าที่ที่ไม่ให้การดูแลตลอด 24 ชั่วโมงซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว ขณะที่ตัวพยานก็ตั้งใจหลบหนีกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญจากนี้คือการให้ความคุ้มครองพยานอีก 2 คนที่เหลือในคดีดังกล่าวอย่างดีที่สุด ทั้งนี้จะได้มีการออกแบบการดูแลพยานใหม่ให้ปลอดภัยและไม่อึดอัดเหมือนที่ผ่านมา

มีรายงานข่าวว่า นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี ได้หายตัวไปขณะที่เดินทางจากร้านน้ำชา กลับบ้านพักที่อยู่ไม่ไกลกันนักใน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส หลังจากนั้นญาติได้แจ้งความ เกี่ยวกับการหายตัวไปของพยานดังกล่าว ไว้ที่ สภ.ระแงะ เพื่อให้เร่งติดตามตัว

ทั้งนี้ นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี เป็นหนึ่งในพยาน ในคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ตั้งข้อหาและสอบสวนนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 10 นาย ที่ถูกกล่าวหาว่า ร่วมกันซ้อมทรมานลูกความจำนวน 5 คน ของนายสมชาย นีละไพจิตร ในคดีปล้นปืนที่ค่ายนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค. พ.ศ.2547 เพื่อให้รับสารภาพ ต่อมาศาลพิพากษายกฟ้อง โดยสำนวนคดีซ้อมทรมานดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
กำลังโหลดความคิดเห็น