"แก๊งแดง" นำโดย "วีระ มุสิกพงศ์" พร้อมลูกน้องขี้ข้า" นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร" โดย "ไอ้ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ และ "ไอ้เต้น" ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ฮึมเหิมหนักออกมาประกาศขู่สร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสะสมแต้มรับโบนัส ล่าสุดบังอาจพ่นน้ำลาย 11 มกราคม จะปลุกระดมมวลชน บุกถล่มเขายายเที่ยง จุดมุ่งหมายปักธงชัยเข้ายึด 5 สถานีเครือข่ายวิทยุชุมชน สถานที่ราชการ บนเขายายเที่ยง โดยอ้างว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่มาสมทบทั่วประเทศ จะเดินขบวนเคลื่อนไหวไปชุมนุมเรียกร้องให้ "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงจิตสำนึกของผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และมอบพื้นที่บริเวณเขายายเที่ยงที่ครอบครองโดยไม่ชอบธรรม คืนให้กับแผ่นดิน ว่างั้น
ขณะที่ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ฐานะรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน กับเสียงเห่าหอนของเหล่าบรรดาเสื้อแดง ลิ่วล้อทักษิณ บอกด้วยสีหน้านิ่ง และน้ำเสียงเรียบเฉย ว่า เจ้าหน้าที่ก็คงดูแลควบคุมสถานการณ์ตามปกติ หากมีการปลุกระดมชาวบ้าน เพื่อบุกขึ้นไปปลูกบ้าน และทำการเกษตรบนเขายายเที่ยง เมื่อถูกถามถึงแผนรับสถานการณ์ กับกลุ่มคนเสื้อแดง รัฐบาลจะรับมือและแก้ปัญหาที่หลายคนมองว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของเช่นไร นั้น "เทพเทือก" ผู้เจนเวทีบนสังเวียนการเมือง และมีลูกล่อ ลูกชน กับการก่อม็อบของกลุ่มเสื้อแดงมาพอสมควร กระชิบเบา ๆ ว่า ต้องดูก่อน ไม่มีมาตรการอะไรพิเศษ ดูแลไปตามกฎหมาย ไปตามกติกา กฎหมายว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปนัดกัน คนไม่มีที่ดินทำกินไปบุกอุทยานเขาใหญ่ เอาที่ดินมาแบ่งกันคงไม่ได้ คิดว่าทั้งหมดนี้ทุกฝ่ายต้องประเมินตัวเอง ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงทำอะไรที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ คนเสื้อแดงก็จะถูกคนส่วนใหญ่ต่อต้านเช่นกัน เชื่อว่าเขาทำไม่ได้
กับแผนปฏิบัติการสร้างความวุ่นวายบนเขายายเที่ยงครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมพร้อมกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยไว้กว่า 5,000 นาย ซึ่งคาดว่าจะไม่เกิดความรุนแรง ตามที่กล่าวอ้าง และจากบาดแผลที่ปิดไม่ลับ ในทุกครั้งที่กลุ่มเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ ก็จะพบความพ่ายแพ้ไม่สามารถล้มล้างรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้ แต่กลับต้องพบกับความผิดหวัง กลับไปตั้งหลักพร้อมกับการอัดฉีดเม็ดเงินจากมือที่มองไม่เห็น สร้างความกระชุ่ม กระชวย เดินหน้าสร้างความเดือดร้อนให้กับสาธารณะชนไม่หยุดหย่อน แม้ที่ผ่านมาแกนนำเสื้อแดงสำรอกออกมาเสมอว่า การชุมนุมไม่ต้องการสร้างความรุนแรง แต่จะมีข้อแม้ขู่ด้วยทุกครั้งว่าถ้าประชาชนแนวร่วมที่มาสมทบทนไม่ไหวกับพฤติกรรมการทำงานของรัฐบาล ก็คงต้องฟังเสียงส่วนใหญ่
หากกลุ่มพลพรรครักทักษิณ ต่อสู้ขั้นแตกหักเข้ายึด 5 สถานี สถานที่ราชการ ยึดบ้าน "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" ยึดที่ดินบนเขายายเที่ยง ซึ่งถ้าไม่ใช่การกล่าวอ้างลอย ๆ ตามคำขู่
เมื่อย้อนลำดับเหตุการณ์ความถ่อย ความเถื่อน ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แกนนำ นปช. ยืนยันหนักแน่นว่า ม็อบเสื้อแดงรวมตัวเคลื่อนไหวเพราะรักชาติ ไม่ใช่ม็อบจัดตั้ง จัดหา รับจ้างมาแลกค่าแรงวันต่อวัน แต่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ นักโทษหนีคดี "พ่อแม้ว ทักษิณ ชินวัตร" และเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนบทบาทการทำงานบริหารประเทศเท่านั้น
มองกันให้เห็น ชัด ๆ ในพฤติกรรมของกลุ่มเสื้อแดงที่พยายามยัดเยียดให้ประชาชนทั่วประเทศ เข้าใจ และรับทราบว่าทำเพราะรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ผลแห่งการออกมาอาละวาด แสดงความเป็นคนไทยที่เด่นชัด กับความรักยุติธรรม ประจักษ์ต่อสายตา และเป็นที่จดจำต่อประชาชนคนไทยทุกคน เราไปเริ่มกันที่....
วีรกรรมครั้งวันที่ 22 ก.ค. 50 ที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ บรรดาเหล่าแกนนำ นปช. โดย "เจ๊เพ็ญ" จักรภพ เพ็ญแข ,ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,วีระ มุสิกพงศ์,จตุพร พรหมพันธุ์ และพรรคพวกแกนนำอีกกว่า 10 คน ได้ปลุกระดมมวลชนให้เกิดความฮึกเหิม เข้าไปโอบล้อม หน้าบ้านป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมปราศรัยโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าสลายตามหลักสากล ถึง 3 รอบ กลุ่มผู้ชุมนุมกลับขว้างปาขวดน้ำ และแผ่นกระเบื้องเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทุบกระจกสโมสรกองทัพบกที่อยู่ใกล้เคียง พังแผ่นเหล็กจนไม่อยู่ในสภาพที่ใช้การได้
โดยผลกระทำครั้งนั้น 9 หัวโจก นายวีระ มุกสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ. เหวง โตจิราการ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ, พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ถูกดำเนินคดี มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และข้อหาสั่งการหรือยั่วยุปลุกระดมให้กลุ่มบุคคลกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการประกันตัว
ถัดมาเมษาเลือด วันที่ 12 เม.ย. 51 กลุ่มแดงเถื่อน ก่อจลาจล เผาบ้าน เผาเมือง ยึดถนนเขตเมืองหลวง และก่อจลาจลซ้ำอีก ที่บริเวณกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นสถานที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใช้เป็นสถานที่ประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนประมาณ 1,000 คน ได้เดินทางไปปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย ได้พากันทุประตูกระจก และพังเข้าไปภายในตัวอาคารกระทรวง โดยมมีจุดประสงค์ เพื่อตามหาตัวนายกรัฐมนตรี และกลุ่มคนเสื้อแดง ได้ทำการทุบรถเบนซ์ ทะเบียน ณฉ-4636 กทม. โดยทุบกระจกรถทุกบาน และใช้เก้าอี้ฟาดเข้าใส่ตัวรถอย่างบ้าคลั่ง
ผลการกระทำ "ทักษิณ ชินวัตร"พร้อมแกนนำหน้าเดิม ถูกดำเนินคดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการประกันตัว โดยการประกันตัวของผู้ต้องหาระดับแกนนำทั้งหมด ศาลได้มีเงื่อนไขคือ ห้ามผู้ต้องหา ออกนอกราชอาณาจักร โดยให้แจ้ง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ทราบด้วย และวางเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหา กระทำการปลุกระดม หรือกระทำการใดๆ อันก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และห้ามมิให้กระทำการใดๆ ที่มีผลกระทบต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน มิฉะนั้น ศาลจะถอดประกัน
แต่จากเงื่อนไขศาล เหล่าผู้ต้องหาทั้งหมด กลับไม่ปฎิบัติตาม มิหนำซ้ำแกนนำบางคน กลับเดินทางไปพบ"ทักษิณ ชินวัตร" อย่างหน้าระรื่น กฎหมายบ้านเมือง หรือ ตม.ไม่สามารถเอาผิดพวกผู้ต้องหาเหล่านั้นได้
มาถึงการเตรียมก่อการ สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง ระลอกใหม่ ของพลพรรคทาสแม้ว ที่แต่ละคน แต่ละหัว ล้วนมีคดีความติดตัว กันทั้งนั้น ซึ่งหาก ตำรวจผู้รักษากฎหมายบ้านเมือง จะใช้วิธี ตรวจเช็กรายหัว ยื่นศาลขอถอนประกัน เพื่อหยุดพฤติกรรมเถื่อนของเหล่าแกนนำ ก็น่าจะได้ผลไม่มากก็น้อย
เพราะตัวอย่างตลอดช่วง 3 ปี ที่กลุ่มคนเสื้อแดง นำโดยสามเกลอ"วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ"ได้ออกมาแสดงพลังมวลชน ก็พบว่าทุกครั้งจะต้องจบด้วยความวุ่นวาย รุนแรง!