xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนตำรวจโจร ทำชั่วติดคุก!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พ.ต.ท.ครรชิต แตงจุ้ย หรือ นายภัทร ทรัพย์วรา หรือนายกรณ์ แตงจุ้ย หรือนายอ้อย หรือนายเอ อดีตรอง ผกก.จร. สน.บางรัก และอดีตนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ในวันที่ถูกจับกุม
เปิดศักราชใหม่ปี 53 นี้ หลายองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆคงจะเป็นที่จะถูกจับตามองการทำงานเป็นอย่างมาก หลังจากปีที่ผ่านมาบ้านเมืองเราต้องประสบเหตุการณ์ต่างๆนานา หน่วยงานแต่ละแห่งต่างทำผลงานส่งท้ายปีกันเป็นว่าเล่น ส่วนในปี 2553 นี้องค์กรที่น่าจะถูกจับตามองมากที่สุดก็ต้องยกให้กับ"สำนักงานตำรวจแห่งชาติ"

ว่ากันว่า "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ในปีที่ผ่านมาถือว่ามีเรื่องราวอลเวงอยู่พอสมควร ทั้งจะเรื่องปัญหาการแต่งตั้งโยกย้าย, ปัญหา ผบ.ตร.,ปัญหาทุจริต และไหนจะเรื่องภาพพจน์ของตำรวจที่สำนักโพลในประเทศ ต่างให้คะแนนความพอใจการทำงานของตำรวจลดลงเป็นอย่างมาก ประกอบกับภาพลักษณ์ที่ผ่านมาในสายตาของประชาชนถือว่า"สอบตก" หลายคนไม่วางใจและเชื่อใจตำรวจเหมือนแต่ก่อน

ทั้งนี้จึงอยากยกตัวอย่างอดีตนายตำรวจนอกรีตท่านหนึ่ง ที่ปัจจุบันต้องใช้ชีวิตอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เอามาเป็นอุทาหรณ์เตือนใจบรรดาตำรวจทุกท่านในปี 2553 นี้ สำหรับบุคคลที่ยกมานั้น คือ พ.ต.ท.ครรชิต แตงจุ้ย หรือ นายภัทร ทรัพย์วรา หรือนายกรณ์ แตงจุ้ย หรือนายอ้อย หรือนายเอ อดีตรอง ผกก.จร. สน.บางรัก และอดีตนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ที่ถูกจำคุกและให้ออกจากราชการเนื่องจากพัวพันกับคดีการหายตัวลึกลับไปของนายชัยรัตน์ รุ่งเรือง หรือ"เสี่ยติงนัง" สจวร์ตหนุ่ม พร้อมพ่วงด้วยข้อหาลักทรัพย์ และปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม

ว่ากันว่าอดีตตำรวจท่านนี้ตั้งแก๊งปลอมเอกสารเพื่อใช้ในการฉ้อโกงเช่าซื้อรถยนต์ โดยก่อเหตุมาแล้วหลายท้องที่ในภาค 8 ทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก ร้อนถึงเครือข่ายผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถยนต์ที่ได้รับผลกระทบต้องเข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามว่ามีแก๊งปลอมเอกสารเพื่อใช้ในการฉ้อโกงเช่าซื้อรถยนต์จึงเป็นที่มาของการนำไปสู่การจับกุม พ.ต.ท.ครรชิต

ส่วนพฤติกรรมของแก๊งนายตำรวจนอกรีตท่านนี้ จะให้สมาชิกในแก๊งตระเวนใช้เอกสารปลอมแล้วทำทีไปขอเช่ารถในเต้นท์รถเช่าแล้ว โดยนำเอกสารปลอมมาเช่าซื้อ ก่อนที่จะนำรถที่ได้จากการเช่าไปหนีหายและนำมาขายต่ออีกทีตามเต็นท์รถมือสองและเขตแนวชายแดนในคันละ 3 - 5 แสนบาท

ในส่วนคดีที่การหายตัวไปของนายชัยรัตน์ หรือ "เสี่ยติงนัง" ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับชายสายการบินลุฟท์ฮันซ่าหายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่ปี 2542 จนบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอตัว ซึ่งคาดว่านายชัยรัตน์เสียชีวิตไปแล้วนั้น ที่พ.ต.ท.ครรชิต มีส่วนเกี่ยวข้อง พบว่ามีคนนำรถเบนซ์ของเสี่ยติงนังไปขายที่เต็นท์รถมือสองย่านรัชดาฯ จนตำรวจได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ครรชิต กับพวกในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้เจ้าตัวเองจะให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นก็ตาม แต่ในทางสืบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานยืนยันว่า พ.ต.ท.ครรชิต เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวแน่นอน เพราะสืบทราบว่านำรถเบนซ์ของเสี่ยติงนังไปขายที่เต็นท์รถมือสองย่านรัชดาฯจริง

คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 21 พ.ย.50 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 29 - 30 มิ.ย.42 จำเลยกับพวก ร่วมกันลักทรัพย์รถยนต์ เบนซ์ ทะเบียน พฮ – 9895 กรุงเทพมหานคร ราคา1,470,000 บาท และแคชเชียร์เช็คธนาคารศรีนคร จำกัด(มหาชน) สาขาสมุทรปราการ จำนวนเงิน 1.6 ล้านบาท กับแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) สาขาถนนนางลิ้นจี่ จำนวนเงิน 500,000 บาท รวมมูลค่า 2.1 ล้านบาท ของนายชัยรัตน์ รุ่งเรือง พนักงานต้อนรับชาย ( สจ๊วต) สายการบินลุฟต์ฮันซ่า ผู้เสียหาย โดยจำเลยกับพวก ยังได้ร่วมกันปลอมตั๋วเงิน ซึ่งร่วมกันเขียนปลอมลายมือชื่อนายชัยรัตน์ ผู้เสียหาย ลงในด้านหลังแคชเชียร์เช็ค ธ.ศรีนคร และ ธ.กรุงศรีอยุธยา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่าแคชเชียร์เช็คทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นตั๋วเงินที่แท้จริง และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันนำตั๋วเงินแคชเชียร์เช็ค ไปเรียกเก็บเงินต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนจันทร์ นอกจากนี้จำเลยกับพวก ยังร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จกับ ร.ต.อ.ประเสริฐ โตศักดิ์สิทธิ์ พนักงานสอบสวน สน.บางรัก เกี่ยวกับคดี รวมทั้งร่วมกันปลอมลายมือชื่อในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของนายชัยรัตน์ ผู้เสียหาย ในเอกสารหนังสือมอบอำนาจ เพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้อง เหตุเกิดที่แขวงสี่พระยา เขตบางรัก และที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.

ผลคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ถือว่า จำเลยได้กระทำความผิดชัด เริ่มจากข้อหาฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและใช้เอกสารปลอมว่าวันที่ 6 ส.ค.2542 ที่จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลเห็นว่า จำเลยได้เข้าแสดงตนต่อเจ้าพนักงานงานฝ่ายปกครองซึ่งมีหน้าที่จัดทำบัตรประจำประชาชนที่สำนักงานเขตจตุจักร โดยลงลายมือชื่อนายชัยรัตน์ ทำบัตรประชาชนใหม่ ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ ซึ่งข้อหาฉ้อโกงฯ เป็นความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำพิพากษาได้โดยไม่ต้องนำสืบพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.176 วรรค 1

ส่วนความผิดข้อหาอื่น โจทก์มีน้องชายต่างบิดาของนายชัยรัตน์ ผู้เสียหายที่ 1 พนักงานสอบสวนเจ้าหน้าที่ธนาคาร นายสุชาติ แซ่อั้น ซึ่งเป็นบุคคลที่รับซื้อรถยนต์เบนซ์ของนายชัยรัตน์ ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 นำมาขายให้เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า มารดาของนายชัยรัตน์ ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้รับการติดต่อกับนายชัยรัตน์ นาน 1 สัปดาห์ เมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2542 จึงได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนไว้เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2542 แจ้งความไว้ต่อพนักงานสอบสวนและน้องชายของนายชัยรัตน์ กับญาติยังได้ไปยังอพาร์ทเม้นท์ของนายชัยรัตน์ 107 เมื่อให้ผู้ดูแลอพาร์ทเม้นท์เปิดห้องดังกล่าวก็พบเพียงโทรศัพท์มือถือของนายชัยรัตน์ หลังจากนั้นมีคนโทรเข้ามือถือแจ้งว่าพบรถยนต์ของนายชัยรัตน์ จอดขายอยู่ที่เต็นท์รถ อมรรัชดา เมื่อพนักงานสอบสวน สอบสวนคดีดังกล่าวก็พบว่าจำเลยให้ จ.ส.ต.ประเสริฐ สุทธิศักดิ์ ผู้ใต้บังคับบัญชาติดต่อขายรถเบนซ์ของนายสุชาติ แซ่อั้น โดยระหว่างต่อรองราคากันผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลย ได้แจ้งเรื่องทางโทรศัพท์ให้จำเลยรับทราบโดยตลอดเพื่อตัดสินใจขาย

ขณะที่ทางนำสืบในชั้นพิจารณายังปรากฎว่า เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2542 จำเลยได้ยังใช้เอกสารบัตรประจำประชาชนปลอม ทำการปิดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาพัฒนาการของนายชัยรัตน์และถอนเงินจำนวน 102,150 บาท นำเข้าในบัญชีใหม่ โดยใช้ชื่อของนายชัยรัตน์ที่จำเลยลงรายชื่อปลอมและพวกของจำเลยยังนำแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับจำนวน 1.6 ล้านบาทและ 5 แสนบาท ที่ลงลายมือชื่อปลอมของนายชัยรัตน์สลักหลังไว้ นำไปฝากเข้าบัญชี ที่จำเลยเปิดไว้ตามที่จำเลยสั่งการ แม้ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อปลอมของนายชัยรัตน์ แต่พยานหลักฐานที่นำสืบฟังได้ว่าในการที่จำเลยสั่งให้นำแคชเชียร์เช็คที่ไม่ใช่ลายมือชื่อของนายชัยรัตน์นำฝากในบัญชีย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่ามีการลงลายมือชื่อปลอม จึงเป็นการใช้เอกสารปลอมเพื่อวัตถุประสงค์ในการเปิดบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีดังกล่าว นอกจากนี้จำเลยยังได้ลงลายมือชื่อปลอมของนายชัยรัตน์ไปใช้ในการทำสมุดจดทะเบียนรถยนต์ต่อกรมการขนส่งทางบกใหม่เพื่อประโยชน์ในการใช้เอกสารนำรถเบนซ์ของนายชัยรัตน์ไปขาย

ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ก็เป็นเพียงการเบิกความลอยๆ ไม่มีน้ำหนักและที่อ้างว่านายชัยรัตน์ โกรธเคืองกับบุคคลอื่นก็น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายชัยรัตน์มากกว่า ข้อต่อสู้และหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังและไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้

จึงพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 264-268 ,342 ประกอบมาตรา 83และ 84 และ พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชนฯ ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมผิดกฎหมายหลายบท ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกระทงความผิดให้จำคุก 7 กระทง รวม 18 ปี ฐานใช้บัตรประชาชนปลอม, ใช้เอกสารปลอมขอสมุดจดทะเบียนรถยนต์, นำไปซึ่งเอกสารของผู้อื่น,ใช้บัตรประชาชนปลอมเพื่อการเปิดบัญชีธนาคารและ ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น แต่จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหา ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น จึงเห็นควรลดโทษเหลือจำคุกจำเลย 15 ปี 6 เดือนและให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 102,150 บาท แก่ผู้เสียหายและให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2518/2551ซึ่งศาลมีคำพิพากษา ให้จำคุก 3 ปีฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 ด้วย

ณ เวลานี้คดีผ่านมากว่า 2 ปี พ.ต.ท.ครรชิต ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำในฐานะนักโทษชายคนหนึ่ง หมดสิ้นซึ่งอนาคตตำรวจ

และนี่เป็นบทเรียนของตำรวจนอกรีตที่ยกมา เพื่ออยากจะเตือนสติสอนใจสำหรับตำรวจ ที่คิดจะเดินทางผิด ให้ลองคิดทบทวน หรือคิดจะทำให้ตัวเองต้องนอนฝันร้ายอยู่ในเรือนจำไปตลอดชีวิต ปีใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ ตำรวจไทยยุคใหม่ ไม่กินไม่โกงขยันทำงาน รับรองได้เลยว่าประชาชนจะรักขึ้นเป็นกองเชียว...
โฉมหน้าชัดๆของ พ.ต.ท.ครรชิต แตงจุ้ย อดีตรอง ผกก.จร. สน.บางรัก
เดินทางมาศาลรับฟังคำตัดสิน
กำลังโหลดความคิดเห็น