00...จำแม่น!!! ครั้งไปสัมภาษณ์พิเศษ “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภายในห้องทำงานชั้น 38 อาคารซอร์ฟแวร์ปาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี หลังท่านได้รับมอบหมายมาดูแลกระทรวงตาชั่ง เมื่อประมาณ 1 ที่ผ่านมา
โดยวันนั้น ก่อนลาจากได้สอบถามท่านถึงคดีหมิ่นเบื้องสูงที่ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต รวมทั้งบรรดาลิ่วล้อถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีและต่างหนีกันหัวซุกหัวซุนอยู่ในขณะนี้ ว่าจะทำอย่างไรดี รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัติย์ ที่ท่านคุมกระทรวงยุติธรรม จะสามารถตามจับตัวพวกนั้นได้หรือไม่?
วันนั้น ท่านได้พูดเป็นปริศนาทิ้งท้ายว่า รู้ตัวการใหญ่แล้ว แต่บอกห้ามเป็นข่าวนะ...ย้ำห้ามเป็นข่าวนะ...
แต่วันนี้ต้องขออนุญาตนะครับท่าน...“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” พูดว่า ผมจับคนบงการล้มสถาบันที่อยู่ต่างประเทศได้แน่...พร้อมกับบอกว่า เร็วๆ นี้จะมีข่าวใหญ่ แต่หลังเวลาล่วงเลยมา รวม 1 ปี “คดีหมิ่นสถาบัน” รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เจ้ากระทรวงยุติธรรมชื่อ “พีระพันธุ์” กลับไม่มีอะไรคืบหน้า ที่สำคัญยังคงปล่อยให้กลุ่มคนชั่วกระทำความผิด ซ้ำแล้วซ้ำอีก
23 ธ.ค.ก่อนสิ้นปี...ส.ว.ผู้ทรงเกียรติ “นายคำนูณ สิทธิสมาน” ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการในการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ออกมาย้ำเตือนว่าผลงาน 1 ปีในด้านการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในด้านเนื้อหาของการหยุดยั้งขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันฯ ถือว่ารัฐบาลสอบตก!
24 ธ.ค.ถัดมา 1 วัน “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ออกมาพูดเกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันฯ ตามสไตล์ “พีระพันธุ์” คนเดิมอีกครั้ง...พร้อมๆ กับพูดเชิงออกตัวว่านี่เป็นปัญหาหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกำลังต้องเร่งแก้ไข เพราะขณะนี้เรามีหมายจับผู้ที่ต้องนำมาดำเนินคดี โดยมีหลักฐานพยานเพียงพอประมาณ 250,000 คน แต่วันนี้ยังไม่มีเจ้าภาพชัดเจนในการทำหน้าที่ติดตามคดี กระทรวงยุติธรรมจึงนำเสนอ ครม.เพื่อจัดตั้งสำนักบังคับคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมาย โดยเสนอเป็นกฎกระทรวงเพื่อรับหน้าที่ในส่วนนี้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในต้นปีหน้า
จากไอเดียของท่านรัฐมนตรี “พีระพันธุ์” ที่เห็นความสำคัญในการตามล่าตัวเหล่าคนชั่วหมิ่นสถาบันฯ หากมองผิวเผิน อาจดูดี แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้ อาจไม่ดีอย่างที่คิด...
เพราะมีข่าวแว่วว่า...คนที่มีโอกาสสูงจะมาเป็น ผบ.สำนักบังคับคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่อาจเป็นอดีตตำรวจดาวเด่นยุค “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ชื่อ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่เคยสร้างผลงานในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ด้วยการเสนอสั่งไม่ฟ้อง และพนักงานอัยการมีความเห็นตามสั่งไม่ฟ้อง นางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ นางบุษบา ดามาพงศ์ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ย้ำความตกต่ำกระบวนการยุติธรรมไทย ครั้งนั่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในยุคนั้น...
และหากสุดท้าย...สำนักบังคับคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมาย เกิดขึ้นจริง โดยมี ผบ.ชื่อ “ทวี สอดส่อง” แล้วการติดตามตัว...ผู้บงการใหญ่ล้มสถาบันในต่างประเทศ ที่ พีระพันธุ์ รู้ตัวตนที่แท้จริงแล้ว จะเกิดผลสำเร็จในรัฐบาลนี้ไหม หรือว่าต้องเปลี่ยน รัฐมนตรียุติธรรม เป็นชื่ออื่น รัฐบาลจึงจะสอบผ่าน “เรื่องการหยุดยั้งขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันฯ”
00...ทันทีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แจ้งให้คู่ความทราบว่าองค์คณะมีมติให้กำหนดไต่สวนพยานเพิ่มเติมในคดี ยึดทรัพย์มูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท ของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” อีก 2 นัด ในวันที่ 12 และ 14 มกราคม 2553 พร้อมกับหมายเรียกพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง นับรวมแล้วกว่า 12 รายการ ทำให้ประชาชนมองต่างมุมในสองแนวทาง
มองมุมบวก...ถือเป็นเรื่องดีที่ศาลให้โอกาสทุกฝ่าย ต่อสู้คดีครบถ้วนกระบวนความให้เป็นธรรม หมายเรียกพยานเอกสารและพยานบุคคลที่ศาลเห็นว่าเกี่ยวข้องกับคดี มาไต่สวนเพื่อให้หมดข้อสงสัยก่อนมีคำพิพากษาตัดสิน และหากคำตอบสุดท้าย ผลคำพิพากษาศาลสั่งยึดทรัพย์ “ทักษิณ” จะมากล่าวหากระบวนการยุติธรรมไทย แบบตีโพยตีพายว่าศาลไม่ให้ความเป็นธรรมเขา เหมือนกับครั้งคดีพิพากษาโทษคุก 2 ปี ในคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดา คงไม่ได้อีกแล้ว
มองมุมลบ...การไต่สวนพยานเพิ่มเติมอีก 2 นัด อาจจะไม่แฮปปี้ สำหรับคนใจร้อน ที่ต้องการให้ศาลปิดคดีสำคัญคดีนี้โดยเร็วที่สุด
ภายใต้เหตุผลที่ว่า กรณีศาลหมายเรียกพยานเอกสาร และพยานบุคคลที่มีประมาณ 12 รายการ เวลาไต่สวน 2 นัด คือ 12 และ 14 ม.ค.จะเพียงพอหรือไม่ และจะเป็นการเปิดช่องให้ ฝ่ายทักษิณ ทำการซักค้านเพื่อต่อสู้อีกหรือไม่ และหากการไต่สวนไม่จบในเวลา 2 นัดที่เหลือ จะนัดไต่สวนเพิ่มอีกกี่นัด ซึ่งแน่นอนเวลาต้องยืดเยื้อออกไป ก็จะเกิดผลดีต่อทักษิณ และไม่เป็นผลดีต่อประชาชนผู้รักความเป็นธรรมแน่นอน
ส่วนวันที่ 12 และ 14 ม.ค.2553 วันนัดไต่สวนสำคัญที่เหลือ จะได้คำตอบว่า ผู้ที่มองมุมบวก และมองมุมลบ ใครคือผู้ที่มองได้อย่างถูกต้อง!
โดยวันนั้น ก่อนลาจากได้สอบถามท่านถึงคดีหมิ่นเบื้องสูงที่ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต รวมทั้งบรรดาลิ่วล้อถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีและต่างหนีกันหัวซุกหัวซุนอยู่ในขณะนี้ ว่าจะทำอย่างไรดี รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัติย์ ที่ท่านคุมกระทรวงยุติธรรม จะสามารถตามจับตัวพวกนั้นได้หรือไม่?
วันนั้น ท่านได้พูดเป็นปริศนาทิ้งท้ายว่า รู้ตัวการใหญ่แล้ว แต่บอกห้ามเป็นข่าวนะ...ย้ำห้ามเป็นข่าวนะ...
แต่วันนี้ต้องขออนุญาตนะครับท่าน...“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” พูดว่า ผมจับคนบงการล้มสถาบันที่อยู่ต่างประเทศได้แน่...พร้อมกับบอกว่า เร็วๆ นี้จะมีข่าวใหญ่ แต่หลังเวลาล่วงเลยมา รวม 1 ปี “คดีหมิ่นสถาบัน” รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เจ้ากระทรวงยุติธรรมชื่อ “พีระพันธุ์” กลับไม่มีอะไรคืบหน้า ที่สำคัญยังคงปล่อยให้กลุ่มคนชั่วกระทำความผิด ซ้ำแล้วซ้ำอีก
23 ธ.ค.ก่อนสิ้นปี...ส.ว.ผู้ทรงเกียรติ “นายคำนูณ สิทธิสมาน” ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการในการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ออกมาย้ำเตือนว่าผลงาน 1 ปีในด้านการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในด้านเนื้อหาของการหยุดยั้งขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันฯ ถือว่ารัฐบาลสอบตก!
24 ธ.ค.ถัดมา 1 วัน “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ออกมาพูดเกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันฯ ตามสไตล์ “พีระพันธุ์” คนเดิมอีกครั้ง...พร้อมๆ กับพูดเชิงออกตัวว่านี่เป็นปัญหาหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกำลังต้องเร่งแก้ไข เพราะขณะนี้เรามีหมายจับผู้ที่ต้องนำมาดำเนินคดี โดยมีหลักฐานพยานเพียงพอประมาณ 250,000 คน แต่วันนี้ยังไม่มีเจ้าภาพชัดเจนในการทำหน้าที่ติดตามคดี กระทรวงยุติธรรมจึงนำเสนอ ครม.เพื่อจัดตั้งสำนักบังคับคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมาย โดยเสนอเป็นกฎกระทรวงเพื่อรับหน้าที่ในส่วนนี้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในต้นปีหน้า
จากไอเดียของท่านรัฐมนตรี “พีระพันธุ์” ที่เห็นความสำคัญในการตามล่าตัวเหล่าคนชั่วหมิ่นสถาบันฯ หากมองผิวเผิน อาจดูดี แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้ อาจไม่ดีอย่างที่คิด...
เพราะมีข่าวแว่วว่า...คนที่มีโอกาสสูงจะมาเป็น ผบ.สำนักบังคับคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่อาจเป็นอดีตตำรวจดาวเด่นยุค “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ชื่อ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่เคยสร้างผลงานในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ด้วยการเสนอสั่งไม่ฟ้อง และพนักงานอัยการมีความเห็นตามสั่งไม่ฟ้อง นางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ นางบุษบา ดามาพงศ์ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ย้ำความตกต่ำกระบวนการยุติธรรมไทย ครั้งนั่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในยุคนั้น...
และหากสุดท้าย...สำนักบังคับคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมาย เกิดขึ้นจริง โดยมี ผบ.ชื่อ “ทวี สอดส่อง” แล้วการติดตามตัว...ผู้บงการใหญ่ล้มสถาบันในต่างประเทศ ที่ พีระพันธุ์ รู้ตัวตนที่แท้จริงแล้ว จะเกิดผลสำเร็จในรัฐบาลนี้ไหม หรือว่าต้องเปลี่ยน รัฐมนตรียุติธรรม เป็นชื่ออื่น รัฐบาลจึงจะสอบผ่าน “เรื่องการหยุดยั้งขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันฯ”
00...ทันทีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แจ้งให้คู่ความทราบว่าองค์คณะมีมติให้กำหนดไต่สวนพยานเพิ่มเติมในคดี ยึดทรัพย์มูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท ของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” อีก 2 นัด ในวันที่ 12 และ 14 มกราคม 2553 พร้อมกับหมายเรียกพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง นับรวมแล้วกว่า 12 รายการ ทำให้ประชาชนมองต่างมุมในสองแนวทาง
มองมุมบวก...ถือเป็นเรื่องดีที่ศาลให้โอกาสทุกฝ่าย ต่อสู้คดีครบถ้วนกระบวนความให้เป็นธรรม หมายเรียกพยานเอกสารและพยานบุคคลที่ศาลเห็นว่าเกี่ยวข้องกับคดี มาไต่สวนเพื่อให้หมดข้อสงสัยก่อนมีคำพิพากษาตัดสิน และหากคำตอบสุดท้าย ผลคำพิพากษาศาลสั่งยึดทรัพย์ “ทักษิณ” จะมากล่าวหากระบวนการยุติธรรมไทย แบบตีโพยตีพายว่าศาลไม่ให้ความเป็นธรรมเขา เหมือนกับครั้งคดีพิพากษาโทษคุก 2 ปี ในคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดา คงไม่ได้อีกแล้ว
มองมุมลบ...การไต่สวนพยานเพิ่มเติมอีก 2 นัด อาจจะไม่แฮปปี้ สำหรับคนใจร้อน ที่ต้องการให้ศาลปิดคดีสำคัญคดีนี้โดยเร็วที่สุด
ภายใต้เหตุผลที่ว่า กรณีศาลหมายเรียกพยานเอกสาร และพยานบุคคลที่มีประมาณ 12 รายการ เวลาไต่สวน 2 นัด คือ 12 และ 14 ม.ค.จะเพียงพอหรือไม่ และจะเป็นการเปิดช่องให้ ฝ่ายทักษิณ ทำการซักค้านเพื่อต่อสู้อีกหรือไม่ และหากการไต่สวนไม่จบในเวลา 2 นัดที่เหลือ จะนัดไต่สวนเพิ่มอีกกี่นัด ซึ่งแน่นอนเวลาต้องยืดเยื้อออกไป ก็จะเกิดผลดีต่อทักษิณ และไม่เป็นผลดีต่อประชาชนผู้รักความเป็นธรรมแน่นอน
ส่วนวันที่ 12 และ 14 ม.ค.2553 วันนัดไต่สวนสำคัญที่เหลือ จะได้คำตอบว่า ผู้ที่มองมุมบวก และมองมุมลบ ใครคือผู้ที่มองได้อย่างถูกต้อง!