คงจำกันได้ดีสำหรับเหตุการณ์ที่ นายชัชวาลย์ โง้วกิมเซ้ง ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง ที่เพิ่งจะได้ประกันตัวออกมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ก่อเหตุอุกอาจในเขตพื้นที่ศาล บุกชิงตัวนักโทษคดีลักทรัพย์ตู้เซฟหลายร้อยล้านบาท แต่ไม่สำเร็จ ! เพราะการวางแผนและวิธีบุกชิงตัวทำให้หลายคนพูดได้เต็มปากว่าเป็นวิธีการของ “โจรกระจอก”
ช่วงเช้าของวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา บรรยากาศบริเวณหน้าศาลจังหวัดตลิ่งชัน เต็มไปด้วยผู้คุมจากเรือนจำต่างๆ ที่พากันควบคุมตัวนักโทษมารอการนัดฟังคำตัดสิน แต่ไม่นานนักบรรยากาศที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความวุ่นวาย เมื่อพลขับของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯขับรถของเรือนจำ หมายเลขทะเบียน 40-1558 นนทบุรี พา “โจรร้อยล้าน” ของแก๊ง “หมูสกปรก” คือ นางวรัญญาภรณ์ เตรียมธนวัชร์ อายุ 27 ปี น.ส.วลัยลักษณ์ ศรีประไพ อายุ 27 ปี นายสุภัทร หรือทอม เนินวิเชียร อายุ 29 ปี นายณัฐ หรือโต้ง ชาหอม อายุ 30 ปี และ นายพีรวัตร หรือพี ตะวันธรงค์ อายุ 23 ปี รวมแล้ว 5 คน เข้ามาจอดชะลอยังบริเวณเขตพื้นที่ศาล ระหว่างนั้นมีรถของเรือนจำพิเศษธนบุรีจอดขวางอยู่ด้านใน ทำให้พลขับของเรือนจำตัดสินใจจอดรถไว้ที่ด้านหน้าศาล โดยที่ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ หรือคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้า
ระเบิด! ระเบิด! ระเบิด! นายณัฐ ร้องตะโกนเสียงหลงหลังจากที่นายพีระวัฒน์ ก้าวขาลงมาจากรถของเรือนจำ ได้ไม่กี่ก้าว เมื่อผู้คุมได้ยินดังนั้นก็เบนสายตาไปดูที่พื้น พบว่ามีวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดตกอยู่ แต่เหตุใดเล่าระเบิดจึงไม่ทำงาน ช่วงโกลาหลที่ทุกคนกำลังตระหนกตกใจกับเสียงของนายณัฐและวัตถุที่ตกอยู่ที่พื้น บรรดานักโทษต่างพยายามวิ่งหลบหนีไปขึ้นรถเก๋งฮอนด้าซีวิค สีเขียว ทะเบียน ภก 3598 กทม. ติดฟิล์มกรองแสงทึบ ที่นายชัชวาล เพื่อนที่รู้จักกันในเรือนจำ ขับมาจอดเทียบรออยู่ด้านหน้า
แต่เดชะบุญเจ้าหน้าที่เรือนจำยังหัวไว ไม่สนใจระเบิดที่ไม่ทำงานรีบเร่งฝีเท้าตามนักโทษไปติดๆ ขัดขวางไม่ให้นายชัชวาลชิงตัวนักโทษไปได้ เมื่อปฏิบัติการไม่สำเร็จนายชัชวาลย์จึงเร่งเครื่องยนต์ออกไปจากอาณาบริเขตบริเวณศาลทันที แต่พฤติกรรมที่เรียกได้ว่าเป็นโจรกระจอกไม่รู้เส้นทางและไม่ได้ศึกษาวางแผนเส้นทางเลยทำให้นายชัชวาลย์ขับรถเก๋งเข้าไปเจอทางตัน นายชัชวาลพร้อมเพื่อนอีก 1 คนที่มาด้วยกันจึงต้องทิ้งรถและใช้ฝีเท้าวิ่งหนีไปตามไปตามทางรถไฟมุ่งหน้าไปทางหมู่บ้านมณฑการ เหลือไว้เพียงอาวุธปืนขนาด .38 มม. กระสุนปืน จำนวน 10 นัด อยู่ที่เบาะคนขับ
ส่วนระเบิดปลอมที่กลุ่มนักโทษและนายชัชวาล นำมาใช้สร้างสถานการณ์นั้น เป็นปะทัดสามเหลี่ยมแบบกระจับ จำนวน 2 ลูก บรรจุอยู่ภายในถุงเท้าสีดำแล้วพันด้วยเทปกาวสีดำ โดยที่วัตถุคล้ายระเบิดที่บรรจุอยู่ในกล่องสีเหลี่ยมคล้ายกล่องนมนั้น ภายในพบว่าเป็นเพียงแค่หลอดยาดมบรรจุอยู่ภายใน จำนวน 2 หลอด ช่างเป็นการสรรหาวัตถุคล้ายระเบิดที่ไม่มีความเหมือนจริง หรือไม่มีการลงทุนเอาซะเลย จากพฤติการณ์ทั้งหมดตั้งแต่การวางแผน การจัดหาวัตถุระเบิดมาสร้างสถานการณ์เบนความสนใจ จนกระทั่งการบุกชิงตัวน่าจะจัดอยู่ในประเภท “โจรกระจอก” ที่ยังไม่อาจจะเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นโจรสมัครเล่นหรือโจรอาชีพได้เลย
โจรกระจอกกลุ่มนี้ได้ร่วมกันวางแผนเอาไว้เป็นขั้นเป็นตอนหวังว่าจะสามารถหลบหนีไปได้ ไม่ต้องติดคุกหัวโต เริ่มจากนายณัฐ และ นายสุภัทร ได้ร่วมกันวางแผนกับ นายชัชวาลย์ ตั้งแต่วันจันทร์ ที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา และสรุปแผนการครั้งสุดท้ายเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ธ.ค. ว่า นายชัชวาลย์ จะเป็นผู้ประกอบระเบิดนำไปซุกไว้ให้บนช่องระบายอากาศหลังคารถขนผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ในช่วงวันเสาร์- อาทิตย์ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเดินผ่านรถดังกล่าวได้อย่างง่ายดายเพราะรถถูกนำไปจอดไว้หน้าเรือนจำ จากนั้นนายชัชวาลย์ ยังนัดหมายด้วยว่า จะนำรถเก๋งสีเขียวเข้มมาจอดรับหน้าศาลจังหวัดตลิ่งชัน หากช่วยเหลือ นายณัฐ และ นายสุภัทร ได้สำเร็จแล้ว ก็จะพาขับรถไปกบดานที่ จ.ชลบุรี ก่อน แล้วจึงจะพาหลบหนีเข้าประเทศกัมพูชาต่อไป ถึงแม้ว่านายสุภัทร กับ นายณัฐ จะถูกขังแยกกันคนละแดนแต่แผนการทั้งหมดก็สรุปกันสำเร็จในวันเยี่ยมญาติซึ่งผู้ต้องขังสามารถมาพบเจอกันได้
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประเด็นสำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นความละเลยของเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพหรือไม่ นายภัทรศักดิ์ ศิริสินธว์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดตลิ่งชัน เปิดเผยว่า เรื่องนี้ทางศาลไม่ขออกความคิดเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายใดรู้เห็นกับกลุ่มผู้ต้องขังหรือไม่ แต่หากเจ้าหน้าที่ขับรถเข้ามาส่งผู้ต้องขังยังจุดจอดรถตามกฎที่กำหนดเหตุการณ์ทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกว่าเสี่ยงมาก เพราะตำรวจตรวจพบอาวุธปืนขนาด .38 พร้อมเครื่องกระสุนถึง 10 นัดในรถเก๋งคันที่ นายชัชวาลย์ จอดทิ้งไว้ก่อนหลบหนี หากนายชัชวาลย์ ใช้ปืนดังกล่าวยิงใส่เจ้าหน้าที่ก็ต้องมีผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน เพราะตอนที่กลุ่มผู้ต้องขังลงจากรถทราบว่า เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ถืออาวุธปืนลงมาคุ้มกันด้วยอาจเป็นเพราะความเคยชินที่เดินทางมาส่งผู้ต้องขังที่ศาลครั้งใด ก็ปลอดภัยไม่เคยเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาก่อน
จะถือว่าเป็นความชะล่าใจหรือไม่ เพราะกรณีชิงตัวนักโทษแก๊งหมูสกปรกไม่ใช้กรณีแรก ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 52 ได้เกิดเหตุบุกชิงตัวนักโทษคดียาเสพติดบริเวณใต้ถุนศาลจังหวัดนนทบุรีขณะเจ้าหน้าที่นำตัวไปส่งศาลเพื่อรอฝากขัง โดยนักโทษได้วิ่งหนีทั้งโซ่ตรวนไปขึ้นรถรถเก๋งฮอนด้า แอคคอร์ด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน หลบหนีไปได้อย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงเศษเสื้อที่ขาดติดมือเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล แต่ยังดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถกู้หน้ากลับคืนมาได้ โดยการตามรวบตัวผู้ต้องหามาได้ยกแก๊ง
ขณะที่นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในศาลจังหวัดตลิ่งชันว่า ได้สั่งการให้นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รักษาการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตรวจสอบข้อมูลการเข้าเยี่ยมของกลุ่มญาติผู้ต้องหา และตรวจสอบเทปจากกล้องวงจรปิดเพื่อพิสูจน์ว่ารถยนต์คันดังกล่าวที่คนร้ายใช้เป็นยานพาหนะในการนำผู้ต้องหาหลบหนีเคยเข้า-ออกที่เรือนจำหรือไม่ นอกจากนี้จะให้มีการตรวจสอบเรื่องระเบิดปลอมที่นำไปใช้ในการก่อเหตุว่าผู้ต้องขังนำมาจากที่ไหน หรือใครเป็นผู้จัดหาและส่งเข้ามาให้ในเรือนจำ
ปฏิบัติการชิงตัวนักโทษที่เกิดขึ้นถือได้ว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจ ท้าทายอำนาจศาล ซึ่งการบุกชิงตัวนักโทษที่เกิดขึ้นกับแก๊งหมูสกปรกจะเป็นกรณีสุดท้ายหรือไม่ คงไม่มีใครให้คำตอบได้ คงต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยในเรือนจำ หรือเข้มงวดเรื่องการคุมตัวนักโทษ หากผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ใช่แค่ “โจรกระจอก” ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคงจะตอบคำถามกับสังคมได้อย่างลำบาก