xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ จี้ตำรวจปกป้องสถาบัน-ยกระดับความเชื่อมั่นองค์กร!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

“อภิสิทธิ์” มอบนโยบาย 332 บิ๊กสีกากี เรียกร้องให้องค์กรตำรวจลุกขึ้นมาปกป้องสถาบัน และดำเนินคดีกับผู้ที่ดึงสถาบันลงมาในวังวนของความขัดแย้ง และต้องทำอย่างตรงไปตรงมา โดยต้องดูเจตนาเป็นหลัก พร้อมติงตำรวตจทำคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันล่าช้า ย้ำขอให้การปฏิบัติต่อผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมาย ไม่เอื้อใครและไม่กลั่นแกล้งใคร เวลามีความผิดซึ่งเห็นได้ชัดเจนไม่ต้องลังเล เผยตั้งคณะทำงานกำหนดหลักเกณฑ์คดีหมิ่นชี้ตำรวจต้องสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ดี ลดแตกแยกแข่งขัน บั่นทอนองค์กร




วันนี้ (25 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่สโมสรตำรวจถนนวิภาวดีรังสิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมอบนโยบายการปฏิบัติราชการให้แก่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ( ตร.) โดยมี พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) รอง ผบ.ตร. ผู้ช่วย ผบ.ตร. หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า 30 คน ผู้บัญชาการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า 45 คน ผู้บังคับการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า 332 คน

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตำรวจต้องช่วยกันผลักดันองค์กรตำรวจให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน ซึ่งนับแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน 1 ปี ได้ทราบดีว่า ข้าราชการโดยเฉพาะตำรวจทุกคนทำงานหนัก นั่นเพราะสถานการณ์ 1 ปีที่ผ่านมา เป็นห้วงที่เร่งกู้บ้านเมืองซึ่งเจอวิกฤติที่ซ้ำซ้อน เป็นวิกฤติท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิด โดยเฉพาะความขัดแย้งทางการเมือง การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ ต้องมีความสลับซับซ้อน มีความละเอียดอ่อน ยากขึ้น และหลายครั้งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ที่กระทบต่อขวัญกำลังใจของตำรวจ ขณะที่วิกฤติเศรษฐกิจซึ่งกระทบฐานะทางการคลังของรัฐบาล ทำให้งบประมาณของตำรวจได้รับผลกระทบด้วย การปฏิบัติหน้าที่ถือว่ามีเงื่อนไขและข้อจำกัดมากมาย

“ผมขอเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับทุกท่านในที่นี้ด้วย และก็ขอขอบคุณกับการปฏิบัติหน้าที่ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในภาพรวมนั้นก็ทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และหลายเรื่องรัฐบาลก็สามารถผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในเรื่องของนโยบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้ ผมอยากจะเรียนกับท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายนั้น ถือว่าเป็นคนที่ต้องปฏิบัติ เพราะว่าตำรวจคือต้นธารของกระบวนการยุติธรรม” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า บ้านเมืองของเรา สังคมของเรา หรือสังคมไหนก็ตาม จะมีความเจริญก้าวหน้าได้ ความสำคัญตรงนี้ ก็หมายถึงว่าข้าราชการตำรวจทุกคนอยู่ในฐานะที่ทำให้พี่น้องประชาชนทุกคน และทำให้ภาพลักษณ์องค์กรมีอำนาจให้คุณให้โทษต่อประชาชนได้ ภาพลักษณ์องค์กร ข่าวสาร และคดีความใหญ่ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจสัมผัสกับพี่น้องประชาชนโดยตรง

“ตรงนี้สำคัญ เพราะว่าภาพลักษณ์องค์กรมีส่วนสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อภาพลักษณ์ที่ดีการทำงานก็จะง่ายได้รับความร่วมมือความไว้วางใจ ในทางตรงข้ามภาพลักษณ์ที่ไม่ดีความไม่ไว้วางใจ ความหวาดระแวงย่อมมีแต่ความหวาดระแวง ซึ่งผมพูดได้เต็มปาก ผมเป็นนักการเมือง และตลอด 20 ปีที่อยู่ในการเมือง ก็พบบ่อยครั้งที่ภาพลักษณ์ของการเมืองติดลบ ซึ่งรู้ดีว่าเป็นปัญหาในการทำงานขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าทุกองค์กรย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ย่อมเหมารวมว่าองค์กรย่อมเป็นเช่นนั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในห้วงนี้มีความขัดแย้ง นำมาสู่การขาดเอกภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจในการทำงาน ทั้งนี้ในทุกองค์กรมีทั้งคนดี และคนไม่ดี หากประชาชนไปสัมผัสคนไม่ดี ก็จะไปเหมารวม ดังนั้น จำเป็นที่ตำรวจทุกคนต้องช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้องค์กรเพื่อให้อยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ นิยมศรัทธาอย่างแท้จริงภายใต้ข้อจำกัดทั้งหลาย ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมาตำรวจมีผลงานเป็นที่น่าภูมิใจ โดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้น้อย ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อปราบยาเสพติด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องภูมิใจ ที่มีตำรวจดี สังคมยอมรับยกย่อง ควรเอาเป็นแบบอย่าง

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ภาพรวมการทำงานของตำรวจหลายเรื่องน่าพอใจ เช่นคดียาเสพติด ที่พบว่าสถิติการจับกุมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการประสานงานของตำรวจกับส่วนงานอื่นๆ ขณะที่สถิติการก่อคดีอาชญากรรมตั้งแต่ต้นปี จนถึงเดือนพฤศจิกายน ก็พบว่า ลดลงจากปีก่อน แต่สถิติการจับกุมควรปรับปรุง ซึ่ง 1 ปีที่ผ่านมาตำรวจทำงานสำเร็จหลายเรื่อง โดยอยากให้ต่อยอดขยายผลในปี 2553 ด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะถือโอกาสนี้ได้พูดถึงนโยบายการปฏิบัติราชการในเรื่องสำคัญ ๆ เป็นการเฉพาะ ดังต่อไปนี้เรื่องแรก คือเรื่องของการปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดกันอีกครั้งหนึ่งเพราะว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ถูกดึงมาในวังวนของความขัดแย้งในทางการเมืองโดยคนบางกลุ่ม ที่จริงคนกลุ่มน้อย เพราะพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ ตนคิดว่าเราได้เห็นจากกิจกรรมในช่วงต้นเดือนนี้ในช่วงที่รัฐบาลได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา พี่น้องประชาชนเกือบทั้งประเทศหลอมรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวในการที่ถวายความจงรักภักดีสำนึกในพระกรุณาธิคุณ แต่มีคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาสู่วังวนของความขัดแย้ง และแน่นอนที่สุดเงื่อนไขของการดึงเข้ามาสู่ความขัดแย้ง สิ่งที่ตนอยากจะเรียนก็คือว่า เนื่องจากเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนเจ้าหน้าที่มีความลำบากใจ และทำให้หลายครั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ต้องใช้เวลานานมาก ซึ่งที่จริงแล้วไม่เป็นผลดี เพราะจำนวนคดีที่สะสมและคั่งค้างอยู่ถูกนำไปเป็นเหยื่อในการขยายผลทางการเมือง ในทางที่จะทำให้ความขัดแย้งลุกลาม

“ผมขอเรียนว่า รัฐบาลในภาคใหญ่ที่สุดของนโยบายในขณะนี้ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมากลั่นกรองในเรื่องนี้ และจะได้เร่งตัดคณะทำงานเพื่อช่วยกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้น ที่อยากจะเรียน คือการปฏิบัติในเรื่องนี้ ผมคิดว่า ดีที่สุดก็คือทำอย่างตรงไปตรงมา ดูเจตนา ดูที่มาที่ไปของเรื่องนี้ ด้วยสามัญสำนึกและด้วยความรัก ความเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ของท่าน หลายเรื่องมีคำตอบอยู่ในตัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีกระแสพระราชดำรัสในเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ศึกษาในเรื่องเหล่านี้ และได้รับคำแนะนำจากคณะทำงาน ผมคิดว่าการทำงานในเรื่องนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายและนโยบายของรัฐบาล คือการควบคุมปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติเพื่อความมั่นคงของประเทศ” นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำ

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า เรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงโดยรวม คือ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เรื่องนี้ ขอยืนยันว่า นโยบายของรัฐบาลก็คือ ต้องการให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคตรงไปตรงมา ตนเป็นรัฐบาลในระบบรัฐสภา อยากใช้คำว่าเป็นกลางในทุกเรื่อง นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยในเรื่องนโยบายในหลักประชาธิปไตยไม่ได้มีความเป็นกลาง ความเป็นกลางต้องแยกออกจากความเป็นกลางในการใช้อำนาจในการบริหารจัดการ ตนแยกแยะแน่นอน จะให้ตนเห็นชอบและเห็นด้วยกับผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองทุกกลุ่มเสมอภาคกัน มีคนที่มีความคิดเห็นสอดคล้องหรือใกล้เคียงกันหรือสิ่งตรงกันข้ามกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ตนต้องทำ และตนยืนยันที่จะต้องทำ คือว่า คนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับตน คนที่จะชอบตนหรือไม่ชอบการปฏิบัติต่อเขาอย่างเสมอภาคภายใต้กฎหมาย และยืนยันว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ตนได้พูดกับ ผบ.ตร.หรือ รรท.ผบ.ตร. แล้วแต่ช่วงมาตลอดว่า ขอให้การปฏิบัติต่อผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมาย ไม่เอื้อใครและไม่กลั่นแกล้งใคร เวลามีความผิดซึ่งเห็นได้ชัดเจนไม่ต้องลังเล กลุ่มเสื้อแดงต่อว่าๆ ทำไมหลังเดือนเมษายนหลายเรื่องคดีเกิดขึ้นเร็วหรือดำเนินการได้เร็ว เนื่องจากว่ามันมีค่าปรับที่ชัดเจน เปิดเผย และก็บอกได้ว่า ปัญหาคดีของพันธมิตรตั้งแต่ต้นปี ตนได้กำชับว่า เรื่องใดที่มีความชัดเจนต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จ เช่น ช่วงที่มีการชุมนุม ช่วงถนนวิภาวดี ที่มีคนยิงปืนเข้าใส่กลุ่มผู้มาต่อต้านผู้ชุมนุม ตนเป็นคนบอกเองว่า อย่างนี้ไม่ต้องลังเลต้องเร่งดำเนินการหาวิธีการให้ได้

“เพราะฉะนั้น ผมเรียนว่าประเด็นที่จะมีการนำมาใช้ตลอดเวลาในการปลุกระดมเกิดการเคลื่อนไหวจนอาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง จะพูดถึงเรื่อง 2 มาตรฐาน ผมยืนยันว่าผมไม่ต้องการ 2 มาตรฐาน ในการทำงาน ในทางปฏิบัติ ท่านทั้งหลายต้องเป็นคนพิสูจน์ว่าไม่ได้มี 2 มาตรฐาน ผมไม่แทรกแซง และถ้าท่านมีปัญหา มีข้อจำกัด มีเงื่อนไขอะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการที่จะทำตรงนี้ ขอให้บอก บอกในฐานะหัวหน้ารัฐบาลจะต้องแก้ไขผ่อนคลายเรื่องนี้ให้ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รู้ว่าการทำหน้าที่ในส่วนหน้าของการปฏิบัติยากที่สุด แต่ต้องยึดหลักการปฏิบัติต่อสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพทางรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพทางการเมือง เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคารพ และต้องขอขอบคุณตลอดปีที่ผ่านมา มีการชุมนุมทางการเมืองเป็นจำนวนมาก ใน 1 ปีที่ผ่านมาตนคิดว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งวันนี้ ได้รับจดหมายร้องเรียนจากคนไทยในต่างประเทศ แต่ในภาพรวมถือว่าการละเมิดมีน้อย ต่างกับปีก่อนที่มีการร้องเรียนอย่างมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องขอยืนยันว่า เมื่อมีการชุมนุมทางการเมืองแล้ว เราปล่อยให้เสมือนบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย สิทธิทางการเมืองไม่ได้ ไม่มีเงื่อนไข เช่น สิทธิการชุมนุมทางการเมือง คือการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ที่ตนไม่เห็นด้วยคือ ที่เชียงใหม่ นักประชาธิปไตยไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น ถ้าจงใจให้ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองหรือข้าราชการก็ตาม ศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้หลายต่อหลายครั้ง ตรงนี้จะต้องเข้มแข็งเพราะถ้าไม่เข้มแข็งแล้วงานของท่านก็จะหนักขึ้นเรื่อยๆ

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องของภาคใต้ อาจเกี่ยวเนื่องในพื้นที่อื่นๆ ด้วย ขอเรียนว่าใน 1 ปีที่ผ่านมาการละเมิดสิทธิของตำรวจได้รับการร้องเรียนลดลงจากปีก่อนๆ ต้องยอมรับว่าการใช้อำนาจของรัฐ ยังเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมประชาชน แต่ว่าต้องไม่ให้มีเงื่อนไข ปีที่ผ่านมามีเรื่องหนึ่งที่จะเป็นเงื่อนไขหรือไม่ คือเหตุที่มัสยิดไอร์ปาแย ก็ออกหมายจับ ตรงไปตรงมา แต่ตอนนี้ คือจะจับกุมหรือลงโทษได้หรือไม่ หาผู้รับผิดชอบมีการลงโทษได้ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่รัฐบาลพิสูจน์ได้ ปีที่ผ่านมา ขอขอบคุณที่แนวทางของตำรวจในพื้นที่ แต่ตอนนี้อาจเป็นอุปสรรคอยู่บ้างในเรื่องการประสานงานเรื่องการช่วยกันเก็บพิสูจน์หลักฐาน

นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า เรื่องยาเสพติด เป็นเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมาก หวังว่าจะได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นรูปธรรม จะได้สนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม ได้ให้ ขณะที่มีนโยบาย 1 เรื่องที่เป็นนโยบายพิเศษ และให้ตำรวจดำเนินการ คือเรื่องหนี้นอกระบบ เป็นปัญหามานาน ล่าสุดตัวเลขของผู้มาขึ้นทะเบียน 6-7 แสน หรือมากกว่านั้น อาจจะถึงล้าน ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำหากเทียบกับผู้เกี่ยวข้อง ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในเรื่องนี้จะโยงมาถึงปัญหาผู้มีอิทธิพลปล่อยเงินกู้ ซึ่งตำรวจอยู่ในฐานะที่ทราบเรื่องนี้อย่างชัดเจน ปัญหาหนี้นอกระบบสำคัญคือลูกหนี้ต้องการปลดแอกตัวเอง ขณะที่เจ้าหน้าเราต้องให้เข้ามาในระบบ เลิกพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม ซึ่งตนจะถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นตัวชี้วัดการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ผ่านมาต้องขอบคุณตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปดำเนินการในเรื่องนี้

“เรื่องสุดท้ายที่เราต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำ การขับเคลื่อนองค์กรของตำรวจให้มีความก้าวหน้า สิ่งใดเป็นเรื่องที่รัฐบาลสามารถตอบสนองได้ เช่น สวัสดิการต่าง ๆ ขอเรียนว่ารัฐบาลจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ สิ่งที่อยากเห็นให้เกิดขึ้นเพื่อเดินไปข้างหน้าได้ เรื่องแรกคือความเป็นเอกภาพ และความสามัคคีขององค์กร การทำงานย่อมมีการแข่งขัน ถ้าการแข่งขันเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เช่น การสร้างผลงานย่อมทำให้องค์กรเข้มแข็ง แต่ถ้าแข่งขันแล้วไปบั่นทอนองค์กร ทำให้เกิดความแตกแยกก็ไม่ควรทำ ผมจึงอยากเห็นการช่วยกันสร้างความสามัคคีในองค์กร ประการที่ 2 คือองค์กรจะเป็นที่เชื่อมั่นคือธรรมาภิบาล ความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของประชาชน ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง ประการที่ 3 อยากผลักดันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโดยเฉพาะการกระจายอำนาจ ช่วงที่ผมทำหน้าที่ประธาน ก.ต.ช.และรับรายงานจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรับมนตรีเรื่องก.ตร. ห่วงเรื่องโครงสร้าง ทุกวันนี้รวมศูนย์ หัวโตมากขึ้น อยากให้ช่วยกันคิดเพื่อจะผลักดันว่าจะทำอย่างไรให้กระจายอำนาจไปสู่ระดับที่ใกล้ชิดสู่ประชาชนมากขึ้น เป็นเจตนารมณ์ที่พยายามที่จะปรับปรุงโครงสร้างมาโดยตลอด รวมทั้งให้รับการตรวจสอบจากประชาชน ผมต้องการให้ข้าราชการตำรวจในฐานะผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนได้เสียโดยตรง ในการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อรักษาบ้านเมืองได้อย่างแท้จริง และให้ผู้ปฏิบัติมีขวัญและกำลังใจมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นจากนี้ต่อไปจะเป็นการเพิ่มพูนการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีเดินทางไปมอบนโยบายตำรวจ มีพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. ให้การต้อนรับ
สนทนากับพล.ต.อ.ปทีป
รองผบ.ตร. และที่ปรึกษา(สบ 10) นั่งรอรับฟังนโยบาย
นายตำรวจที่เข้ารับฟังนโยบาย
สอบถามพล.ต.อ.ปทีป
ทักทายพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส(ทั้งคู่)
แวะสนทนา-ไต่ถามนายตำรวจทุกระดับ
กำลังโหลดความคิดเห็น