ดูเหมือนว่า การแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะยังคงต้องถอนสายบัวเก้อกันต่อไป ตราบเท่าที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เอง ยังไม่มีเอกภาพในเรื่องนี้ แม้จะอ้างว่า การแต่งตั้งผู้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชี้ขาดก็ตาม แต่เมื่อคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ยังคงแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แย่งกันเพื่อขึ้นไปเป็นใหญ่ เข้าทำนอง “จุ๋มไม่ได้ อ๊อดก็อย่าหวัง” แถมยังต้องระวังตัวสอดแทรก ที่จะคอยคว้าพุงปลามันไปกินอีก แล้วจะไปมองหาเอกภาพได้จากที่ไหน
แม้การแต่งตั้งระดับผู้นำสูงสุดของหน่วย จะสะดุดด้วยอุปสรรคใหญ่น้อยอะไรก็ตาม แต่กระบวนการขับเคลื่อนไปข้างหน้าขององค์กรนั้น ไม่สามารถที่จะรอได้ ทั้งเรื่องขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็กระทบไม่ได้แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำอย่างไร ต้องรอแต่ให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปจัดการเพียงฝ่ายเดียวกระนั้นหรือ ไหนๆ ก็ยกฐานะจากกรมตำรวจ ขึ้นมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว คนดีมีฝีมือก็มีมาก ไฉนไม่ร่วมมือกัน ทำองค์กรให้เกิดเอกภาพเล่า
การแต่งตั้งนายตำรวจระดับรอง ผบก.ลงไปถึงระดับสว. ที่ค้างเติ่งมานาน ตั้งแต่ยุคที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. กำลังจะเกษียณอายุราชการไป หรือที่บัญชีการแต่งตั้งครั้งนั้นเรียกกันว่า “โผอีจ๋อย” นั้น ก็มีอันต้องยกเลิกโบกมือลาไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนตำรวจแล้ว ใครที่ได้วิ่งเต้นโยกย้ายใช้เงินใช้ทองไปในครั้งนั้น คงไปตามทวงคืนกับใครไม่ได้ ส่วนใครที่ได้ขึ้นมาเพราะลำดับอายุราชการความอาวุโส ก็คงบั่นทอนกำลังใจไปไม่น้อยเช่นกัน
แว่วว่า ในวันนี้ (18 ธ.ค.) อาจจะมีคำสั่งเป็นหนังสือเวียนของรักษาราชกาารแทน (รรท.) ผบ.ตร. ให้หน่วยขึ้นตรง และกองบัญชาการ(บช.)ทุกบช. ดำเนินการจัดทำบัญชีรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก.-สว.ได้ โดยมีกำหนดให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 31 ธ.ค.ศกนี้ หลังจากนั้น ทาง รรท.ผบ.ตร.ก็จะลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไปในทันที
แต่ว่า การจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับดังกล่าว ซึ่งผู้มีอำนาจเต็มนั้น ขึ้นอยู่กับผู้นำหน่วย หรือตัวผู้บัญชาการ หรือกองบัญชาการเป็นหลัก ซึ่งแต่ละหน่วยย่อมรู้อยู่ว่า ใครควรจะเหมาะสมกับตำแหน่งไหนอย่างไร แต่การณ์กลับไม่ปรากฏเป็นเช่นนั้น เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายเที่ยวนี้ ทำเอาตำรวจในแต่ละกองบัญชาการเอือมระอา...เอือมระอาเพราะตั๋วนักการเมือง ทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาล และทั้งตั๋วของ “กำนันเทพ” อดีตกำนันคนดังโดยเฉพาะนั้น ทำให้แต่ละบช.รู้สึกอึดอัดใจ เพราะแค่จะขอคนที่ทำงาน ซึ่งมีคุณสมบัติพร้อมทุกประการขึ้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจบ้าง ยังไม่ได้ ก็เพราะตั๋วของ “กำนันเทพ” คนดังกล่าวนั่นเอง ส่วนตัว “กำนันเทพ” จะรู้หรือไม่ ไม่อาจทราบได้ แต่ทุกกองบัญชาการ เขาเชื่อ และเอือมระอากันอย่างนั้นจริงๆ
เดิมทีการแต่งตั้งโยกย้ายในครั้งนี้ ว่ากันว่า จะพิจารณากันเฉพาะนายตำรวจระดับยศ พ.ต.อ.เท่านั้นก่อน แต่ในความเป็นจริง เมื่อมีเสียงคัดค้านมากขึ้น ก็ทำให้ต้องมีการพิจารณากันยกกะบิ ตั้งแต่รองผบก.ลงมาถึง สว. ให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกันเลย เพราะขืนมัวรอท่า แต่งตั้งเฉพาะนายตำรวจยศ พ.ต.อ.ไปก่อนนั้น บัญชีแต่งตั้งนายตำรวจระดับรอง ผกก.-สว. คงมีแต่ตั๋วนักการเมืองว่อนไปหมด ไม่เหลือคนทำงานให้กองบัญชาการไว้ได้ใช้เลย
แต่อย่างว่า ตำรวจ ถือเป็นผู้มีอำนาจ มีความเกี่ยวพันสูงที่จะสามารถชี้เป็นชี้ตายในการเลือกตั้งทุกระดับแต่ละครั้งได้ จึงไม่แปลกใจ ที่ผู้มีอำนาจอย่างผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จะต้องถูกอำนาจที่เหนือกว่า ครอบงำไว้ไม่ให้เห็นแสงเห็นตะวันตลอดไป