กองปราบเร่งสอบเบื้องลึก ยึดอาวุธสงครามข้ามชาติ ตั้งข้อสังเกตเหตุใดเครื่องบิน ไม่มีตราสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่บ่งบอกเป็นบริษัทใด สงสัยใช้ไทยเป็นสถานที่ติดต่อซื้อขายและขอดูสินค้าหรือไม่ พร้อมประสานราชทัณฑ์ขอทราบที่คุมขัง “วิกเตอร์ บูต” หวั่นเชื่อมโยง 5 ผู้ต้องหา
วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบเครื่องบินลำเลียง รุ่น IL76 (อิลยูชิน 76) สีขาว สัญชาติคาซัคสถาน ขณะขออนุญาตลงจอดที่คลังสินค้า ท่าอากาศยานดอนเมือง พร้อมทั้งยึดเครื่องยิงจรวด รุ่น 240 mm. ROCKET LAUNCHER1985 (M1985) จำนวน 2 ชุดๆ ละ 12 ท่อ รวม 24 ท่อ หัวจรวด แท่นเหล็กไว้สำหรับประกอบท่อส่งจรวด และเครื่องยิงลูกระเบิดอาร์พีจี โดยทั้งหมดมีการแยกส่วนประกอบเก็บไว้ในลังไม้ กล่องเหล็กขนาดต่างๆ รวมทั้งสิ้น 145 กล่องว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าอาวุธสงครามที่บรรจุอยู่ในกล่องจะมีหมายเลขกำกับสินค้าหรือซีเรียลนัมเบอร์ที่เรียงติดกัน ซึ่งมี 1 หมายเลขที่สูญหายไป จึงต้องตรวจสอบต่อไปอีกว่ามีการนำสินค้าในหมายเลขดังกล่าวไปส่งให้กับใครก่อนหน้านี้หรือไม่ ในส่วนของการสั่งซื้ออาวุธสงครามที่มีกระแสข่าวออกมาว่าทางชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่าก็มีการใช้อาวุธประเภทนี้อยู่และอาจเป็นผู้ติดต่อขอซื้อนั้น ข้อมูลทั้งหมดยังต้องตรวจสอบในรายละเอียดเพราะมีความเป็นไปได้ทั้งนั้นแต่หากเป็นประเทศพม่าก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเหตุใดเครื่องบินจึงไม่ลงจอดที่ประเทศพม่าแต่กลับมาแวะประเทศไทยก่อน
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับเครื่องบินที่ถูกใช้ในการลำเลียงอาวุธสงครามดังกล่าวนั้นก็มีข้อสังเกตว่า เหตุใดเครื่องบินลำนี้จึงไม่มีตราสัญลักษณ์ หมายเลขหรือเครื่องหมายใดๆ ที่พอจะบ่งบอกว่าเป็นเครื่องบินบริษัทใด ซึ่งการนำเครื่องบินมาลงจอดจึงต้องตรวจสอบว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎการบินหรือไม่ เครื่องบินนี้ลงมาจอดได้อย่างไร ด้วยเหตุใด มีเจ้าหน้าที่รายใดเกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นไปได้ว่ามีการใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ติดต่อซื้อขายและขอดูสินค้ากันหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลบริษัทเอกชนที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นธุรการในการคอยดูแลประสานงานและให้ความสะดวกกับสายการบินต่างๆ ที่นำเครื่องจอดขึ้นลงในสนามบินของประเทศไทยนั้น เบื้องต้นพบว่าเป็นการดำเนินการของบริษัท เอ็มเจ็ท ซึ่งในส่วนนี้จะต้องตรวจสอบต่อไปว่าเหตุเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ กว่า 20 หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในสนามบินจึงมีความหละหลวมจนปล่อยให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นได้
รายงานข่าวระบุด้วยว่า จากนี้ไปคงต้องมีการประสานข้อมูลกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าจำเป็นจะต้องมีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เฉพาะเจาะจงหน่วยงานเข้าไปควบคุมดูแลการขึ้นลงของเครื่องบินลำต่างๆ ให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้นหรือไม่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นอีก
ด้านการสอบสวนดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาทั้ง 5 คนในคดีนี้ ซึ่งมีข่าวออกมาว่าอาจมีส่วนเกี่ยวพันกับนายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูต เจ้าของฉายาพ่อค้าแห่งความตายชาวรัสเซีย ซึ่งทาง บก.ป.เคยจับกุมตัวไว้ได้ก่อนหน้านี้ ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อขอทราบที่คุมขังนายวิกเตอร์ฯ และตรวจสอบข้อมูลประวัติของนายวิกเตอร์ฯ นอกจากนี้ยังได้ทำหนังสือถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอข้อมูลประวัติการเดินทางเข้าออกประเทศไทยของกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 5 ก่อนจะตรวจสอบความเกี่ยวข้องของกลุ่มบุคคลทั้งหมดว่ามีรายใดเคยติดต่อสัมพันธ์กับนายวิกเตอร์ฯ หรือไม่
สำหรับประวัติของนายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูต เป็นชาวรัสเซีย เกิดเมื่อ 13 มกราคม 1967 ที่เมืองดูชานเบ ปัจจุบันอยู่ในทาจิกิสถาน แต่เจ้าตัวบอกว่าเขาเกิดใกล้เมืองอัชกาบัต ปัจจุบันอยู่ในเติร์กเมนิสถาน อดีตทหารยศพันตรี อยู่หน่วยเคจีบี ซึ่งเป็นสายลับอันลือชื่อของอดีตสหภาพโซเวียต บูต ถูกกล่าวหาว่าจัดส่งอาวุธให้กับกลุ่มตอลิบาน เครือข่ายอัลกออิดะห์ ของ อุซามะห์ บิน ลาดิน และชาร์ลส์ เทย์เลอร์ อดีตผู้นำไลบีเรีย เรื่องราวของเขาถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือโดย ดักลาส ฟาราห์ และสตีเฟน บรอน ต่อมาหนังฮอลลีวูดนำมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง “Lord of War” มี นิโคลัส เคส นำแสดง
นายวิกเตอร์ถูกจับคาโรงแรมหรูกลางกรุงเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2551 พร้อมสมุน หลังใช้ไทยเป็นฐานเจรจากลุ่มกบฏทั่วโลก เป็นนักค้าอาวุธระดับโลกที่มีผลงานด้านการค้าอาวุธระดับโลกตะลึง รายงานแจ้งว่าเขาเข้าไปดำเนินการค้าอาวุธในอิรักแล้วด้วย โดยใช้บริษัทบริการด้านการบินและอื่นๆ ของเขาบังหน้าในปี 2006 ครั้งที่ปืนอาก้า 2 แสนกระบอกที่จัดส่งจากบอสเนียไปยังอิรักเกิดหายไปอย่างไร้ร่องรอย หนึ่งในเครื่องบินขนส่งของบูตก็ทำหน้าที่ขนส่งปืนเหล่านี้ด้วย
หลังเข้ารับการฝึกทหาร เขาถูกส่งไปประจำการณ์ที่ฐานทัพอากาศรัสเซียที่เมืองวิเทียบส์ค ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่นำร่อง ต่อมาหน้าที่ของเขาขยายไปเป็นการฝึกคอมมานโดของกองทัพอากาศ เขาจบการศึกษาจากสถาบันการทหารมอสโกปี 1991ในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ และเชี่ยวชาญใน 6 ภาษา ซึ่งก็รวมถึงภาษาฝรั่งเศส โปรตุเกส อังกฤษ และอุซเบก ต่อมาถูกส่งไปเป็นล่ามกองทัพที่อังโกลา และในปีเดียวกันฐานทัพในรัสเซียที่เขาประจำการอยู่ก็ถูกปิดเพราะล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้เขาและนายทหารอื่นๆ ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี กลายเป็นคนไม่มีอะไรให้ทำ บูตก็เลยตั้งบริษัท Transavia Export Cargo ที่ให้บริการด้านเครื่องบินขนส่งกับทหารเบลเยี่ยมที่โซมาเลียในปี 1993 แหล่งข่าวในรัสเซียบอกว่าในการลงทุนครั้งนี้นั้น เขาใช้วิธีการเช่าเครื่องบินจากหน่วยจีอาร์ยู หรือหน่วยข่าวกรองของกองทัพรัสเซียมา 3 ลำ เนื่องจากความสัมพันธ์จากการที่เขาอาจเป็นสายลับในหน่วยนี้มาก่อน สำหรับลูกค้าอื่น ๆ ของเขาในช่วงแรกๆ ก็มีรัฐบาลอัฟกานิสถานรวมอยู่ด้วย ว่ากันว่าเขาทำเงินได้ถึง 50 ล้านดอลล่าร์จากการนำเครื่องบินออกให้บริการกับกลุ่มต่างๆ ในอัฟกานิสถาน
ปี 1995 เขาตั้งบริษัท Trans Aviation Network Group ที่เบลเยียม เพื่อจัดส่งอาวุธให้รัฐบาลอัฟกานิสถาน แต่ความสัมพันธ์มาจบลงเมื่อกลุ่มตาลีบันโค่นล้มรัฐบาลอัฟกานิสถานลงได้ รัฐบาลต้องถอยร่นไปอยู่ทางเหนือ และกลายเป็นกลุ่มพันธมิตรภาคเหนือ กลางปี 1995 กลุ่มตาลีบันสกัดการส่งอาวุธของเขาได้ แต่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ลูกน้องของเขาที่ถูกจับก็ได้รับการปล่อยตัว และไม่นานหลังจากนั้น ตอลิบานก็กลายเป็นลูกค้าใหม่ของเขา ช่วงนั้นบูตใช้ชีวิตหรูหราที่เบลเยียม แต่หลังสื่อมวลชนรายงานเรื่องธุรกิจลับของเขาเบลเยียมก็เริ่มสอบสวน เขาเลยต้องย้ายไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตั้งบริษัทชื่อว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อเป็นฐานในการทำธุรกิจของเขา ปี 1995 เขาตั้งบริษัท Air Cess ที่ประเทศอิเควตอเรียล กินี แต่จดทะเบียนที่ไลบีเรีย และบริษัทนี้ก็คือเส้นทางหลักในการลำเลียงอาวุธไปยังจุดที่มีการสู้รบทั่วแอฟริกา เขาขายอาวุธให้กับทุกกลุ่มที่มีเงินจ่าย ประเมินว่า บูตส่งปืนกล เครื่องยิงระเบิด และอื่นๆ หลายแสนกระบอกไปยังอังโกลา, แคเมอรูน , สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, สาธารณรัฐคองโก, เคนยา, เอเควตอเรียล กินี, ไลบีเรีย, ลิเบีย, รวันดา, เซียร์รา ลีโอน, แอฟริกาใต้, ซูดาน, สวาซิแลนด์ และอูกานดา
อาวุธส่วนมากที่เข้าไปยังแอฟริกาผ่านมาทางบัลแกเรีย ตั้งแต่กลางปี 1997 ถึงปลายปี 1998 มีรายงานว่าเขาส่งอาวุธมูลค่า 14 ล้านดอลล่าร์เข้าไปยังแอฟริกา ปี 2000 เขาส่งเฮลิคอปเตอร์ ปืนต่อสู้อากาศยาน และยานยนต์หุ้มเกราะไปยังไลบีเรีย นอกจากนั้น เขายังตั้งบริษัท Air Cess ที่ฟลอริด้าในปี 1997 ด้วย ก่อนที่จะถูกยุบไปในปี 2001
นายวิกเตอร์ค้าขายกับทุกฝ่าย โดยไม่คำนึงถึงแนวคิดทางการเมือง ทำให้ในหลายๆ กรณี เขาค้าขายกับทั้งสองฝั่งที่ทำสงครามกัน เขาค้าขายแม้กระทั่งกับกลุ่มที่ไม่น่าคบค้าอย่างตาลีบัน และชาร์ลส์ เทเลอร์ แห่งไลบีเรีย ยูเอ็น และสหรัฐฯ ก็เคยใช้บริการการบินของเขา
สำหรับฉายา นักทะลวงการคว่ำบาตร และพ่อค้าความตาย ถูกตั้งให้โดยอดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอังกฤษเมื่อปี 2003 จากข้อมูลในหนังสือเรื่องพ่อค้าความตาย ที่ออกมาเมื่อปี 2007 ระบุว่าบูตมีเครื่องบินขนส่งหลายลำที่ใช้ลำเลียงอาวุธ เครื่องบินขนส่งรัสเซียของเขาอาจจะมีการบำรุงรักษาไม่ดี แต่มันก็ถูกหุ้มด้วยตะกั่วทั้งลำ ทำให้ปืนส่วนมากยิงไม่ค่อยเข้า
นายวิกเตอร์ เป็นที่ต้องการตัวของหลายประเทศ หลังจากที่เกิดกระบวนการหยุดยิงในแอฟริกาตะวันตก และจากการเปิดเผย ก็ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจการค้าอาวุธในแอฟริกาของเขารุ่งเรือง จนกลายเป็นธุรกิจสำคัญ ภาพลักษณ์ของเขามาเลวร้ายสุดๆ หลังเกิดเหตุ 11 กันยายน เพราะเขาส่งอาวุธให้ตอลิบาน ซึ่งเป็นเครือข่ายอัลกออิดะห์ เรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่สหรัฐต้องการตัวมากที่สุด แต่การค้าอาวุธมานานหลายปี ทำให้เขาสามารถสร้างเครือข่ายธุรกิจ และเส้นสายทางการเมือง เช่นเมื่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตกลงใจที่จะจับกุมเขาก็ไม่สามารถทำได้โดยง่าย เพราะไม่รู้ว่าส่วนไหนของธุรกิจที่ทำถูกกฎหมาย และส่วนไหนที่ผิดกฏหมาย การที่ตัวเขาและบริษัท ย้ายที่อยู่เป็นประจำ การนำเครื่องบินไปจดทะเบียนใหม่ ซึ่งบ่อยครั้งมักทำแบบผิดกฏหมาย ทำให้สหรัฐและตำรวจสากล ดำเนินการกับเขาได้ยาก นอกจากนั้น รัสเซียก็ไม่ได้สนใจเรื่องหมายจับเขาของทางตำรวจสากลอย่างจริงๆนัก แม้ว่าก่อนหน้านี้ เขาจะใช้ชีวิตอยู่ที่มอสโกอย่างเปิดเผยก็ตาม
ในปี 2002 เมื่อเบลเยียมและตำรวจสากลออกหมายจับ เขาก็หนีไปรัสเซีย เพราะรัฐธรรมนูญรัสเซียให้การปกป้องเขา เพราะกำหนดไว้ว่าห้ามทางการส่งตัวคนรัสเซียให้แก่ทางการต่างประเทศ ขณะที่ยูเอ็นก็คว่ำบาตรการเดินทางไปต่างประเทศของเขา และอายัดบัญชีเงินฝากในต่างประเทศ เชื่อกันว่าบูตมีหนังสือเดินทาง 5 เล่มเป็นอย่างน้อย และใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ ในรัสเซีย เขาพักอยู่กับภรรยา และพ่อตา ซึ่งจากข้อมูลของสหรัฐฯ บอกว่าพ่อตาของเขาเคยมีตำแหน่งสูงในหน่วยเคจีบี ซึ่งบางทีก็อาจจะมีตำแหน่งสูงระดับรองผู้อำนวยการหน่วยก็ได้
ตร.รื้อแฟ้มคดี “วิกเตอร์ บูต” หาหลักฐานเอี่ยวเครื่องบินขนอาวุธสงครามหรือไม่
แยกขังแก๊งอาวุธสงคราม หวั่นปะหน้านักค้ารายใหญ่!
“อัยการ” ยอมรับยึดอาวุธสงคราม ถือเป็นคดีซับซ้อน
อัยการชี้ชัดแก๊งค้าอาวุธต้องดำเนินคดีตาม กม.ไทย-ทนายยื่นประกัน
ทูตคาซัคสถาน-ล่ามรัสเซียร่วมสอบ 5 นักบินลอบขนอาวุธสงคราม
ยึดอาวุธสงคราม 40 ตันบรรทุกเครื่องบินเกาหลีเหนือ
วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบเครื่องบินลำเลียง รุ่น IL76 (อิลยูชิน 76) สีขาว สัญชาติคาซัคสถาน ขณะขออนุญาตลงจอดที่คลังสินค้า ท่าอากาศยานดอนเมือง พร้อมทั้งยึดเครื่องยิงจรวด รุ่น 240 mm. ROCKET LAUNCHER1985 (M1985) จำนวน 2 ชุดๆ ละ 12 ท่อ รวม 24 ท่อ หัวจรวด แท่นเหล็กไว้สำหรับประกอบท่อส่งจรวด และเครื่องยิงลูกระเบิดอาร์พีจี โดยทั้งหมดมีการแยกส่วนประกอบเก็บไว้ในลังไม้ กล่องเหล็กขนาดต่างๆ รวมทั้งสิ้น 145 กล่องว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าอาวุธสงครามที่บรรจุอยู่ในกล่องจะมีหมายเลขกำกับสินค้าหรือซีเรียลนัมเบอร์ที่เรียงติดกัน ซึ่งมี 1 หมายเลขที่สูญหายไป จึงต้องตรวจสอบต่อไปอีกว่ามีการนำสินค้าในหมายเลขดังกล่าวไปส่งให้กับใครก่อนหน้านี้หรือไม่ ในส่วนของการสั่งซื้ออาวุธสงครามที่มีกระแสข่าวออกมาว่าทางชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่าก็มีการใช้อาวุธประเภทนี้อยู่และอาจเป็นผู้ติดต่อขอซื้อนั้น ข้อมูลทั้งหมดยังต้องตรวจสอบในรายละเอียดเพราะมีความเป็นไปได้ทั้งนั้นแต่หากเป็นประเทศพม่าก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเหตุใดเครื่องบินจึงไม่ลงจอดที่ประเทศพม่าแต่กลับมาแวะประเทศไทยก่อน
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับเครื่องบินที่ถูกใช้ในการลำเลียงอาวุธสงครามดังกล่าวนั้นก็มีข้อสังเกตว่า เหตุใดเครื่องบินลำนี้จึงไม่มีตราสัญลักษณ์ หมายเลขหรือเครื่องหมายใดๆ ที่พอจะบ่งบอกว่าเป็นเครื่องบินบริษัทใด ซึ่งการนำเครื่องบินมาลงจอดจึงต้องตรวจสอบว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎการบินหรือไม่ เครื่องบินนี้ลงมาจอดได้อย่างไร ด้วยเหตุใด มีเจ้าหน้าที่รายใดเกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นไปได้ว่ามีการใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ติดต่อซื้อขายและขอดูสินค้ากันหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลบริษัทเอกชนที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นธุรการในการคอยดูแลประสานงานและให้ความสะดวกกับสายการบินต่างๆ ที่นำเครื่องจอดขึ้นลงในสนามบินของประเทศไทยนั้น เบื้องต้นพบว่าเป็นการดำเนินการของบริษัท เอ็มเจ็ท ซึ่งในส่วนนี้จะต้องตรวจสอบต่อไปว่าเหตุเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ กว่า 20 หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในสนามบินจึงมีความหละหลวมจนปล่อยให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นได้
รายงานข่าวระบุด้วยว่า จากนี้ไปคงต้องมีการประสานข้อมูลกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าจำเป็นจะต้องมีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เฉพาะเจาะจงหน่วยงานเข้าไปควบคุมดูแลการขึ้นลงของเครื่องบินลำต่างๆ ให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้นหรือไม่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นอีก
ด้านการสอบสวนดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาทั้ง 5 คนในคดีนี้ ซึ่งมีข่าวออกมาว่าอาจมีส่วนเกี่ยวพันกับนายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูต เจ้าของฉายาพ่อค้าแห่งความตายชาวรัสเซีย ซึ่งทาง บก.ป.เคยจับกุมตัวไว้ได้ก่อนหน้านี้ ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อขอทราบที่คุมขังนายวิกเตอร์ฯ และตรวจสอบข้อมูลประวัติของนายวิกเตอร์ฯ นอกจากนี้ยังได้ทำหนังสือถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอข้อมูลประวัติการเดินทางเข้าออกประเทศไทยของกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 5 ก่อนจะตรวจสอบความเกี่ยวข้องของกลุ่มบุคคลทั้งหมดว่ามีรายใดเคยติดต่อสัมพันธ์กับนายวิกเตอร์ฯ หรือไม่
สำหรับประวัติของนายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูต เป็นชาวรัสเซีย เกิดเมื่อ 13 มกราคม 1967 ที่เมืองดูชานเบ ปัจจุบันอยู่ในทาจิกิสถาน แต่เจ้าตัวบอกว่าเขาเกิดใกล้เมืองอัชกาบัต ปัจจุบันอยู่ในเติร์กเมนิสถาน อดีตทหารยศพันตรี อยู่หน่วยเคจีบี ซึ่งเป็นสายลับอันลือชื่อของอดีตสหภาพโซเวียต บูต ถูกกล่าวหาว่าจัดส่งอาวุธให้กับกลุ่มตอลิบาน เครือข่ายอัลกออิดะห์ ของ อุซามะห์ บิน ลาดิน และชาร์ลส์ เทย์เลอร์ อดีตผู้นำไลบีเรีย เรื่องราวของเขาถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือโดย ดักลาส ฟาราห์ และสตีเฟน บรอน ต่อมาหนังฮอลลีวูดนำมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง “Lord of War” มี นิโคลัส เคส นำแสดง
นายวิกเตอร์ถูกจับคาโรงแรมหรูกลางกรุงเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2551 พร้อมสมุน หลังใช้ไทยเป็นฐานเจรจากลุ่มกบฏทั่วโลก เป็นนักค้าอาวุธระดับโลกที่มีผลงานด้านการค้าอาวุธระดับโลกตะลึง รายงานแจ้งว่าเขาเข้าไปดำเนินการค้าอาวุธในอิรักแล้วด้วย โดยใช้บริษัทบริการด้านการบินและอื่นๆ ของเขาบังหน้าในปี 2006 ครั้งที่ปืนอาก้า 2 แสนกระบอกที่จัดส่งจากบอสเนียไปยังอิรักเกิดหายไปอย่างไร้ร่องรอย หนึ่งในเครื่องบินขนส่งของบูตก็ทำหน้าที่ขนส่งปืนเหล่านี้ด้วย
หลังเข้ารับการฝึกทหาร เขาถูกส่งไปประจำการณ์ที่ฐานทัพอากาศรัสเซียที่เมืองวิเทียบส์ค ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่นำร่อง ต่อมาหน้าที่ของเขาขยายไปเป็นการฝึกคอมมานโดของกองทัพอากาศ เขาจบการศึกษาจากสถาบันการทหารมอสโกปี 1991ในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ และเชี่ยวชาญใน 6 ภาษา ซึ่งก็รวมถึงภาษาฝรั่งเศส โปรตุเกส อังกฤษ และอุซเบก ต่อมาถูกส่งไปเป็นล่ามกองทัพที่อังโกลา และในปีเดียวกันฐานทัพในรัสเซียที่เขาประจำการอยู่ก็ถูกปิดเพราะล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้เขาและนายทหารอื่นๆ ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี กลายเป็นคนไม่มีอะไรให้ทำ บูตก็เลยตั้งบริษัท Transavia Export Cargo ที่ให้บริการด้านเครื่องบินขนส่งกับทหารเบลเยี่ยมที่โซมาเลียในปี 1993 แหล่งข่าวในรัสเซียบอกว่าในการลงทุนครั้งนี้นั้น เขาใช้วิธีการเช่าเครื่องบินจากหน่วยจีอาร์ยู หรือหน่วยข่าวกรองของกองทัพรัสเซียมา 3 ลำ เนื่องจากความสัมพันธ์จากการที่เขาอาจเป็นสายลับในหน่วยนี้มาก่อน สำหรับลูกค้าอื่น ๆ ของเขาในช่วงแรกๆ ก็มีรัฐบาลอัฟกานิสถานรวมอยู่ด้วย ว่ากันว่าเขาทำเงินได้ถึง 50 ล้านดอลล่าร์จากการนำเครื่องบินออกให้บริการกับกลุ่มต่างๆ ในอัฟกานิสถาน
ปี 1995 เขาตั้งบริษัท Trans Aviation Network Group ที่เบลเยียม เพื่อจัดส่งอาวุธให้รัฐบาลอัฟกานิสถาน แต่ความสัมพันธ์มาจบลงเมื่อกลุ่มตาลีบันโค่นล้มรัฐบาลอัฟกานิสถานลงได้ รัฐบาลต้องถอยร่นไปอยู่ทางเหนือ และกลายเป็นกลุ่มพันธมิตรภาคเหนือ กลางปี 1995 กลุ่มตาลีบันสกัดการส่งอาวุธของเขาได้ แต่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ลูกน้องของเขาที่ถูกจับก็ได้รับการปล่อยตัว และไม่นานหลังจากนั้น ตอลิบานก็กลายเป็นลูกค้าใหม่ของเขา ช่วงนั้นบูตใช้ชีวิตหรูหราที่เบลเยียม แต่หลังสื่อมวลชนรายงานเรื่องธุรกิจลับของเขาเบลเยียมก็เริ่มสอบสวน เขาเลยต้องย้ายไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตั้งบริษัทชื่อว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อเป็นฐานในการทำธุรกิจของเขา ปี 1995 เขาตั้งบริษัท Air Cess ที่ประเทศอิเควตอเรียล กินี แต่จดทะเบียนที่ไลบีเรีย และบริษัทนี้ก็คือเส้นทางหลักในการลำเลียงอาวุธไปยังจุดที่มีการสู้รบทั่วแอฟริกา เขาขายอาวุธให้กับทุกกลุ่มที่มีเงินจ่าย ประเมินว่า บูตส่งปืนกล เครื่องยิงระเบิด และอื่นๆ หลายแสนกระบอกไปยังอังโกลา, แคเมอรูน , สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, สาธารณรัฐคองโก, เคนยา, เอเควตอเรียล กินี, ไลบีเรีย, ลิเบีย, รวันดา, เซียร์รา ลีโอน, แอฟริกาใต้, ซูดาน, สวาซิแลนด์ และอูกานดา
อาวุธส่วนมากที่เข้าไปยังแอฟริกาผ่านมาทางบัลแกเรีย ตั้งแต่กลางปี 1997 ถึงปลายปี 1998 มีรายงานว่าเขาส่งอาวุธมูลค่า 14 ล้านดอลล่าร์เข้าไปยังแอฟริกา ปี 2000 เขาส่งเฮลิคอปเตอร์ ปืนต่อสู้อากาศยาน และยานยนต์หุ้มเกราะไปยังไลบีเรีย นอกจากนั้น เขายังตั้งบริษัท Air Cess ที่ฟลอริด้าในปี 1997 ด้วย ก่อนที่จะถูกยุบไปในปี 2001
นายวิกเตอร์ค้าขายกับทุกฝ่าย โดยไม่คำนึงถึงแนวคิดทางการเมือง ทำให้ในหลายๆ กรณี เขาค้าขายกับทั้งสองฝั่งที่ทำสงครามกัน เขาค้าขายแม้กระทั่งกับกลุ่มที่ไม่น่าคบค้าอย่างตาลีบัน และชาร์ลส์ เทเลอร์ แห่งไลบีเรีย ยูเอ็น และสหรัฐฯ ก็เคยใช้บริการการบินของเขา
สำหรับฉายา นักทะลวงการคว่ำบาตร และพ่อค้าความตาย ถูกตั้งให้โดยอดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอังกฤษเมื่อปี 2003 จากข้อมูลในหนังสือเรื่องพ่อค้าความตาย ที่ออกมาเมื่อปี 2007 ระบุว่าบูตมีเครื่องบินขนส่งหลายลำที่ใช้ลำเลียงอาวุธ เครื่องบินขนส่งรัสเซียของเขาอาจจะมีการบำรุงรักษาไม่ดี แต่มันก็ถูกหุ้มด้วยตะกั่วทั้งลำ ทำให้ปืนส่วนมากยิงไม่ค่อยเข้า
นายวิกเตอร์ เป็นที่ต้องการตัวของหลายประเทศ หลังจากที่เกิดกระบวนการหยุดยิงในแอฟริกาตะวันตก และจากการเปิดเผย ก็ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจการค้าอาวุธในแอฟริกาของเขารุ่งเรือง จนกลายเป็นธุรกิจสำคัญ ภาพลักษณ์ของเขามาเลวร้ายสุดๆ หลังเกิดเหตุ 11 กันยายน เพราะเขาส่งอาวุธให้ตอลิบาน ซึ่งเป็นเครือข่ายอัลกออิดะห์ เรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่สหรัฐต้องการตัวมากที่สุด แต่การค้าอาวุธมานานหลายปี ทำให้เขาสามารถสร้างเครือข่ายธุรกิจ และเส้นสายทางการเมือง เช่นเมื่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตกลงใจที่จะจับกุมเขาก็ไม่สามารถทำได้โดยง่าย เพราะไม่รู้ว่าส่วนไหนของธุรกิจที่ทำถูกกฎหมาย และส่วนไหนที่ผิดกฏหมาย การที่ตัวเขาและบริษัท ย้ายที่อยู่เป็นประจำ การนำเครื่องบินไปจดทะเบียนใหม่ ซึ่งบ่อยครั้งมักทำแบบผิดกฏหมาย ทำให้สหรัฐและตำรวจสากล ดำเนินการกับเขาได้ยาก นอกจากนั้น รัสเซียก็ไม่ได้สนใจเรื่องหมายจับเขาของทางตำรวจสากลอย่างจริงๆนัก แม้ว่าก่อนหน้านี้ เขาจะใช้ชีวิตอยู่ที่มอสโกอย่างเปิดเผยก็ตาม
ในปี 2002 เมื่อเบลเยียมและตำรวจสากลออกหมายจับ เขาก็หนีไปรัสเซีย เพราะรัฐธรรมนูญรัสเซียให้การปกป้องเขา เพราะกำหนดไว้ว่าห้ามทางการส่งตัวคนรัสเซียให้แก่ทางการต่างประเทศ ขณะที่ยูเอ็นก็คว่ำบาตรการเดินทางไปต่างประเทศของเขา และอายัดบัญชีเงินฝากในต่างประเทศ เชื่อกันว่าบูตมีหนังสือเดินทาง 5 เล่มเป็นอย่างน้อย และใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ ในรัสเซีย เขาพักอยู่กับภรรยา และพ่อตา ซึ่งจากข้อมูลของสหรัฐฯ บอกว่าพ่อตาของเขาเคยมีตำแหน่งสูงในหน่วยเคจีบี ซึ่งบางทีก็อาจจะมีตำแหน่งสูงระดับรองผู้อำนวยการหน่วยก็ได้
ตร.รื้อแฟ้มคดี “วิกเตอร์ บูต” หาหลักฐานเอี่ยวเครื่องบินขนอาวุธสงครามหรือไม่
แยกขังแก๊งอาวุธสงคราม หวั่นปะหน้านักค้ารายใหญ่!
“อัยการ” ยอมรับยึดอาวุธสงคราม ถือเป็นคดีซับซ้อน
อัยการชี้ชัดแก๊งค้าอาวุธต้องดำเนินคดีตาม กม.ไทย-ทนายยื่นประกัน
ทูตคาซัคสถาน-ล่ามรัสเซียร่วมสอบ 5 นักบินลอบขนอาวุธสงคราม
ยึดอาวุธสงคราม 40 ตันบรรทุกเครื่องบินเกาหลีเหนือ