“พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์” ยิ้มกริ่ม กลับเข้ารับราชการ หลังศาลปกครองพิพากษาเพิกถอนคำสั่งปลดออกของ สตช.ในเหตุการณ์ที่ใช้ความรุนแรงกับผู้ต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรี “วรพงษ์” เซ็นมอบตำแหน่ง ผบก.ประจำ บช.น.ให้ดูแล
วันนี้ (10 พ.ย.) เมื่อเวลา 15.45 น. ที่ บช.น.พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ อดีต ผบก.น.1 ได้เดินทางเข้ารายงานตัวต่อ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.เปิดเผยว่า สตช.มีคำสั่งให้ตนกลับเข้าปฏิบัติราชการที่ บช.น.ภายหลังที่ศาลปกครองมีคำสั่งพิพากษาลงวันที่ 31 กันยายน 52 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับตนกลับเข้ารับราชการตามเดิม หลังจากนั้น สตช.ได้มีการพิจารณาคำพิพากษาแล้วดำเนินการปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา สตช.ได้ออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ปลดตนออกจากราชการ และให้คืนสิทธิต่างๆ พร้อมกับให้หน่วยเกี่ยวข้องแต่งตั้งตน ทาง สตช.ได้ส่งเรื่องมายัง บช.น.เพื่อดำเนินการแต่งตั้งตนเข้าประจำ บช.น.ทาง พล.ต.ท.วรพงษ์ ผบช.น.ได้มีคำสั่ง บช.น.ที่ 488/2552 ลงวันที่ 10 พ.ย. เรื่องให้ข้าราชการตำรวจประจำส่วนราชการ โดยแต่งตั้งให้ตนดำรงตำแหน่ง ผบก.ประจำ บช.น.ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.52 เป็นต้นไป
พล.ต.ต.มานิตย์ กล่าวต่อว่า มีคนสอบถามมามากว่าจะฟ้องร้อง ป.ป.ช.หรือไม่ ตนคิดดูแล้วถือว่าเรื่องนี้จะไม่ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะว่าตอนที่ ป.ป.ช.พิจารณาเรื่องเราก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน เราก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับ ป.ป.ช.เป็นการส่วนตัว คิดว่าเป็นเรื่องของมุมมองแต่ละฝ่ายที่มองออกมาคนละแบบ จึงออกมาคนละอย่างกัน
อดีต ผบก.น.1 ที่ต้องถูกปลดออกจากราชการเป็นระยะเวลานาน 2 ปี กล่าวต่อว่า สำหรับมุมมองของตนอยากเสนอให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำการศึกษา (case study) กรณีของตน รวมทั้งกรณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ ที่เคยถูก สตช.ดำเนินการปลดออกจากราชการลักษณะเดียวกันนี้ ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่เพิ่งถูกชี้มูล เช่น ผบก.ภ.จว.อุดรธานี เป็นต้น มาดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร อาจจะต้องมากำหนดแนวทางปฏิบัติให้ตำรวจกันใหม่ หรือจะต้องไปทำความเข้าใจกับองค์กรอื่นๆ อย่างไรบ้าง ขอยกตัวอย่างให้ฟัง เช่น ถ้าเราเข้าไปในตลาดเห็นคน 3 คนชกต่อยกันอยู่ เป็นเหตุซึ่งหน้าตำรวจเราสามารถจับกุมตัวทั้งหมดไปโรงพักดำเนินคดีได้เลย ถ้าเป็นกรณีกลุ่มผู้ชุมนุม 2 กลุ่มมาปะทะกัน การที่เราจะจับกุมตรงนั้นยิ่งจะทำให้เกิดเหตุวุ่นวาย เราจะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยก่อน ทำอย่างไรก็ได้ให้เหตุการณ์ตรงนั้นคลี่คลายและสงบเสียก่อน จะต้องกันคนที่มีปัญหาต้นเหตุออกไปเพื่อให้เหตุการณ์สงบลง จากนั้นจึงจะมาดูว่าใครทำอะไรผิดบ้างค่อยมาดำเนินคดี กฎหมายให้อำนาจตำรวจไว้ชัดเจน ตาม พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2547 มาตรา 6 อนุ 3 ระบุว่า ตำรวจมีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน อนุ 4 ระบุว่า ในการสืบสวนจับกุมในคดีความผิดอาญา ฉะนั้น อำนาจหน้าที่มี 2 แบบ กรณีเมื่อเกิดเหตุไม่เรียบร้อยเราก็จะต้องดำเนินการก่อนอันดับแรก ก่อนที่จะมาว่ากันในเรื่องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
“การควบคุมฝูงชนหรือการปราบจลาจลนั้นเป็นวิธีการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่แตกต่างจากการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมตามปกติ โดยจะมียุทธวิธีตำรวจสำหรับควบคุมฝูงชนโดยเฉพาะซึ่งในโรงเรียนนายร้อยตำรวจก็มีการสอนในหลักสูตรนี้ มีตำราแนวทางการปฏิบัติไว้ชัดเจน” พล.ต.ต.มานิตย์ กล่าว
พล.ต.ต.มานิตย์ กล่าวเพิ่มเติม หลังเข้าพบ ผบช.น.ได้ให้ตนช่วยงานอยู่ที่สำนักงาน ผบช.น.ไปก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
สำหรับ พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ ผบก.ประจำ บช.น.นั้น ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูล ว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง โดยเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรอง ผบก.น.6 ได้เป็นผู้ควบคุมกำลังตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีมีกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และมีกลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ จำนวนมาก และเกิดการกระทบกระทั่งทำร้ายร่างกายกัน ขณะนั้น พล.ต.ต.มานิตย์ ได้ใช้ความรุนแรงในการจับกุมกลุ่มผู้ต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณ และเลือกปฏิบัติในการจับกุมแต่เฉพาะกลุ่มต่อต้าน ไม่ดำเนินการจับกุมกลุ่มผู้สนับสนุนและเป็นผู้บังคับบัญชาในที่เกิดเหตุแต่ไม่ดำเนินการใดๆ เป็นเหตุให้มีผู้ถุกทำร้ายร่างกายและได้ส่งมติชี้มูลมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนที่สุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งปลดให้ พล.ต.ต.มานิตย์ ออกจากราชการเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2550 ที่ผ่านมา