ตำรวจหิ้วมือฆ่าหั่นศพทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ทุกจุดอย่างละเอียดนาน 5 ชม. ขณะที่เจ้าตัวยันให้อภัยเหยื่อสาวไม่ได้ อ้างอยู่ต่อไปก็ไปทำร้ายคนอื่นอีก ส่วน “น้องโช” ต้องขอขมา ขอชาติหน้าเกิดเป็นพ่อลูกกัน
เมื่อเวลา 15.30 น.วันนี้ (14 ต.ค.) ตำรวจเบิกตัว นายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่าหั่นศพ ด.ช.โช อาคิโน อายุ 5 ขวบ และนางสุนันท์ ศรีสุวรรณ มารดา ออกมาจากห้องขังอีกครั้ง จากนั้นควบคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพเพิ่มเติม โดยเริ่มจากที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่อาคารจอดรถ 5 C ซึ่งนายศิริพงษ์นำรถแท็กซี่ไปจอดรอเหยื่อกับลูก จากนั้นเดินออกทางเชื่อมเข้าไปยังตัวอาคารผู้โดยสารชั้น 3 และลงบันไดเลื่อนไปรอรับเหยื่อที่ชั้น 2 เมื่อพบกันแล้ว ก็พาเหยื่อกลับมาขึ้นรถ แล้วพาออกไปจากสนามบิน โดยใช้เส้นทางทางมอเตอร์เวย์ ไปขึ้นทางด่วนที่ด่านศรีนครรินทร์ มุ่งหน้าไปลงที่ด่านแจ้งวัฒนะ
จากนั้นเป็นจุดที่นายศิริพงษ์กลับขับรถไปเข้าตามเส้นทางวงแหวนรอบนอกตะวันตก และก่อเหตุยิงเหยื่อตรงบริเวณหน้าร้าน ส.เจริญ รับซื้อขายเหล็กเก่า ต.คลองพระอุดม อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี จนนางสุนันท์ กับ ด.ช.โช เสียชีวิต ก่อนจะนำศพนางสุนันท์ไปทิ้ง ห่างจากจุดที่ลงมือลั่นไกไปอีกราว 2 กม. โดยจุดที่ทิ้งศพนางสุนันท์นี้มีชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างมามุงดูเหตุการณ์และพากันตะโกนสาปแช่งนายศิริพงษ์กันเป็นจำนวนมาก
จุดต่อมาคือ แฟลตเอื้ออาทร โครงการบางบัวทอง 1 เลขที่ 353/33 อาคาร 48 ม.2 ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นจุดที่นายศิริพงษ์ นำศพ ด.ช.โช มาทำการหั่นชำแหละแยกชิ้นส่วน ก่อนนำใส่ถุงดำแล้วนำมาไว้ท้ายรถแท็กซี่ ซึ่งจุดนี้ก็มีชาวบ้านมามุงดูเหตุการณ์และพากันตะโกนสาปแช่งนายศิริพงษ์อีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน
จุดสุดท้ายคือ บริเวณริมถนนราชพฤกษ์ แขวงและเขตตลิ่งชัน ช่วงก่อนถึงหมู่บ้านพฤกษ์ภิรมย์ ประมาณ 50 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่นายศิริพงษ์ ให้การยืนยันว่า เป็นจุดที่นำชิ้นส่วนศพของ ด.ช.โช ที่ชำแหละแล้วมาทิ้งไว้ ไม่ใช่ภายในหมู่บ้านพิมานตามที่นายประทิน ปานฮวบ คนเก็บของเก่าเป็นผู้ไปพบศพคนแรกแต่อย่างใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายศิริพงษ์ เดินทางกลับสน.ตลิ่งชัน ก่อนนำตัวขึ้นไปสอบปากคำเพิ่มเติมบนห้องประชุมชั้น 3 ต่อทันที รวมเวลาที่ใช้ในการทำแผนประกอบคำรับสารภาพประมาณ 5 ชั่วโมง
นายศิริพงษ์ยังเปิดใจผ่านสื่อมวลชนอีกครั้งว่า ตนยืนยันว่าบริเวณริมถนนราชพฤกษ์ เป็นจุดที่ตนนำชิ้นส่วนของ ด.ช.โช ไปทิ้งไว้ ไม่ใช่ภายในหมู่บ้านพิมาน ตามที่มีคนมาพบแต่อย่างใด ส่วนเรื่องที่จะมีคนไปพบถุงใส่ชิ้นส่วนศพ ด.ช.โช ไปอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นเพราะมีการเคลื่อนย้ายถุงมากกว่า และก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชิ้นส่วนของมือทั้งสองข้างหายไประหว่างถูกเคลื่อนย้าย ส่วนสาเหตุที่ตนนำมาทิ้งไว้จุดดังกล่าวนั้นก็เป็นเพราะต้องการให้คนมาพบเห็นโดยเร็ว เพื่อจะได้นำศพของ ด.ช.โช ไปบำเพ็ญกุศลต่อไป
นายศิริพงษ์กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องทรัพย์สินของนางสุนันท์ที่หายไปนั้น ตนยืนยันว่าเอาไปเพียงเงินสดจำนวน 5,000 บาทเท่านั้น เพราะนางสุนันท์เป็นคนไม่ชอบพกเงินสด เนื่องจากเคยถูกล้วงกระเป๋ามาแล้ว โดยเงินจำนวนดังกล่าวก็เอาไปจ่ายค่าน้ำมันรถ ส่วนเช็คเงินสดจำนวน 600,000 บาท ของนางสุนันท์นั้น ตนเป็นคนฉีกทิ้งเพื่อทำลายหลักฐานเอง เพราะไม่สามารถนำไปเบิกได้อยู่แล้ว สำหรับทรัพย์สินจำพวกเครื่องประดับนั้น ตนนำใส่ถุงเอาไว้แต่คาดว่าน่าจะหล่นหายไประหว่างที่เคลื่อนย้ายศพนางสุนันท์ไปทิ้ง เพราะช่วงที่ลากศพลงมาจากรถนั้นตนลากลงมาอย่างลุกลี้ลุกลน
“ผมอยากขอขมาในสิ่งที่ผมทำกับน้องโช เพราะน้องเขาต้องมาตกเป็นเหยื่อของโทสะของผู้ใหญ่สองคนที่ทะเลาะกัน น้องเขาหลับอยู่ แต่ต้องมาโดนลูกหลงจนตาย ความจริงเขาเป็นเด็กฉลาด สอนง่าย แต่ผมมาทำลายอนาคตของเขา ก็รู้สึกเสียใจ หากชาติหน้ามีจริงผมขอให้เขาเกิดมาเป็นลูกผม เพราะผมเลี้ยงลูกได้ดี ผมยอมรับว่าการไปชำแหละศพน้องเขามันไม่ถูก แต่ต้องทำเพราะไม่ให้ชิ้นใหญ่เกินไป” นายศิริพงษ์กล่าว และว่า “แต่กับคุณสุนันท์นั้น ผมไม่ขอขมา และไม่สามารถอภัยให้เธอได้ เธอต้องรับกรรมของเธอที่ควรจะได้ ผมก็ต้องรับกรรมของผม ซึ่งก็สมควรแล้ว เพราะหากเธออยู่ต่อไป เธอก็อาจจะทำร้ายคนอื่นอีก”
นายศิริพงษ์กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นตนของฝากลูกของตนด้วย เพราะหลังจากนี้คงจะอาศัยอยู่ที่เดิมไม่ได้แล้ว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ตนทำไป หากมีผู้ใจบุญมารับอุปการะก็ฝากเลี้ยงดูและส่งเสียให้ลูกของตนเรียนหนังสือด้วย เพราะตนต้องขอไปชดใช้กรรมที่ก่อขึ้นก่อน นอกจากนี้ ตนต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ดูแลตนเป็นอย่างดี ทั้งที่ตนเป็นฆาตกรก่อคดีสะเทือนขวัญ แต่กลับได้รับการปฏิบัติอย่างนุ่มนวล จนรู้สึกว่าตนไม่ควรจะได้รับมัน
ขณะเดียวกัน ในเวลา 18.00 น.ที่ผ่านมา นายอิสสระ สมชัย รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะได้เดินทางมาที่ห้องศัลยกรรมเด็ก แผนกผู้ป่วยใน ชั้น 7 โรงพยาบาลพระราม 9 เพื่อเยี่ยมอาการน้องมินท์ โดยระหว่างที่เดินทางมาถึงหน้าห้องได้พบกับนายสมบุญ จงงามวิไล อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 222/35 ซอย 20 มิถุนา แยก 11 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง เจ้าของร้านซักอบรีด และกิชชี่ คาเฟ่ ย่านตลิ่งชัน ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นลุงของน้องมินท์
โดยนายสมบุญกล่าวว่า น้องมินท์ เป็นลูกสาวของนายสมพงษ์ จงงามวิไล ซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาของตน ตนจึงจะขอเข้าเยี่ยมอาการน้องมินท์ แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม นายสมบุญจึงฝากภาพถ่ายน้องมินท์ตอนอายุ 5 เดือน ที่ถ่ายคู่กับนางสุนันท์ ผู้เป็นแม่พร้อมบัตรประชาชนเข้าไปให้น้องมินท์ดู
จากนั้นนายอิสสระได้นำกระเช้าดอกไม้เข้าไปเยี่ยมอาการของน้องมินท์ โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก่อนจะออกมาเปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาเยี่ยมน้องมินท์เนื่องจากเห็นว่ายังไม่มีญาติมาติดต่อ เบื้องต้นได้มอบเงินช่วยเหลือเป็นจำนวน 4,000 บาท เป็นเงินสงเคราะห์ผู้ได้รับความเดือดร้อน และได้นำของเล่นอีกจำนวนหนึ่งมาให้น้องมินท์ เล่นเพื่อแก้เหงา ตอนนี้อาการน้องมินท์ยังสลึมสลือ สภาพจิตใจยังไม่ดีนัก ส่วนการช่วยเหลือต่อไปหลังจากนี้ต้องหาผู้ปกครองให้น้องมินท์ ซึ่งที่ผ่านมาเคยไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งแต่ 3 ขวบ จนพูด อ่าน และเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ หากน้องมินท์จะไปอยู่ญี่ปุ่น ต้องให้คนญี่ปุ่นมารับเป็นบุตรบุญธรรม แต่ต้องตรวจสอบว่า ประกอบอาชีพมั่นคงมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงดูน้องมินท์ได้หรือไม่
นายอิสสระกล่าวต่อว่า ส่วนภาพถ่ายที่นายสมบุญนำมามอบให้นั้น น้องมินท์สามารถจดจำรูปถ่ายนางสุนันท์ได้ แต่จำหน้าลุงไม่ได้ น้องมินท์บอกด้วยว่า เคยได้ยินแม่พูดถึงลุงอยู่บ่อยๆ แต่จำไม่ได้ ส่วนที่นายสมบุญจะเข้าไปเยี่ยมนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและแพทย์ได้ขอร้องว่า ยังไม่อยากให้ใครเข้าเยี่ยม เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อสภาพจิตใจของน้องมินท์ และเกรงว่าจะเสียรูปคดี จากนั้นได้มอบรูปถ่ายคืนให้กับนายสมบุญและเดินทางกลับ
ด้าน นายสมบุญ เปิดเผยว่า ที่ตนมาวันนี้ต้องการมาดูว่า น้องมินท์เป็นหลานตนหรือไม่ โดยหลังจากที่นำภาพถ่ายให้น้องมินท์ดูแล้ว เจ้าตัวก็ยืนยันว่าคนในภาพเป็นแม่ของน้องมินท์จริง ซึ่งตนก็มีศักดิ์เป็นลุงของน้องมินท์ ส่วนนางสุนันท์เคยทำงานอยู่ในคณะตลกและอยู่กินกับนายสมพงษ์ น้องชายตนซึ่งทำงานอยู่ในคณะตลกด้วยกัน จนกระทั่งมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน คือน้องมินท์
นายสมบุญกล่าวอีกว่า จากนั้นนางสุนันท์ได้ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นส่งเงินกลับมาให้นายสมพงษ์ซื้อเรือไว้ทำประมง และซื้อบ้าน ต่อมาเมื่อน้องมินท์อายุได้ 3 ขวบ นายสมพงษ์ไปมีภรรยาใหม่ พอนางสุนันท์รู้เรื่องก็มาพาน้องมินท์หนีไปอยู่ประเทศญี่ปุ่นด้วยกัน โดยตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้พบน้องมินท์อีกเลย จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วตนมาพบกับนางสุนันท์ แต่ไม่ได้พบกับน้องมินท์ จนมาเกิดเรื่องขึ้น จากนี้หากน้องมินท์จะไปอยู่กับใครก็แล้วแต่น้องมินท์ หากจะมาอยู่กับตนก็พร้อมจะเลี้ยงดู โดยตนได้โทรศัพท์คุยกับนายสมพงษ์ เรื่องจัดการพิธีศพแต่ยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ต้องรอปรึกษากันอีกครั้ง
หมอห่วงสภาพจิต “น้องมินท์” เหยื่อมือฆ่าหั่นศพ!
คุมตัวมือฆ่าหั่นทำแผน ตร.มุ่งปมโยงฆ่าตามใบสั่ง!
ค้นห้องมือฆ่าหั่นศพหลักฐานชัด - ชิ้นส่วนมือเด็กยังหาไม่พบ!
มือฆ่าหั่นศพเปิดใจโดนดูถูกไม่มีน้ำยา คว้าปืนรัวทั่วรถ 14 นัด!
มือฆ่าโหด “แม่-ลูก” มอบตัว ให้การสับสน-อ้างหึงหวง
ฆ่าโหด 2 ศพ เป็น “แม่-ลูก” ชาวเกาหลี-ลูกคนเล็กยังไม่รู้ชะตากรรม
5 วันรู้หัวกระสุนศพ “หญิงนิรนาม-เด็กฆ่าหั่น” โยงกันหรือไม่
ฆ่าหั่นศพยังไม่ชัดเป็นเด็กเกาหลี รอผลดีเอ็นเอโยงฆ่าหญิงนิรนาม
สลดปนสยอง! เหี้ยมผิดวิสัยมนุษย์ ลั่นไกฆ่าหั่นศพตัดคอเด็กยัดถุงดำทิ้ง!