มือฆ่าโหดสองแม่ลูกเปิดใจนาทีสังหารโหด โมโหโดนดูถูกไม่มีน้ำยาเป็นได้แค่คนขับแท็กซี่ คว้าปืนยิงรัวทั่วรถ 14 นัด นำศพคนเป็นแม่ทิ้ง อ้างไม่รู้ปืนถูกเด็ก 5 ขวบเสียชีวิต ก่อนหั่นร่างเด็กแล้วนำไปทิ้ง ด้าน “อัศวิน” เชื่อจงใจฆ่าให้ตายทั้ง 3 แม่ลูก
วันนี้ (13 ต.ค.) เมื่อเวลา 22.30 น.ที่ สน.ตลิ่งชัน นายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหายิง น.ส.สุนันท์ ศรีสุวรรณ หรือมาคิโน อายุ 38 ปี และฆ่าหั่นศพ “น้องโชว์” เด็กชายโชว์ มาคิโน 5 อายุขวบ เปิดใจถึงสาเหตุการก่อคดีสะเทือนขวัญในครั้งนี้ว่า ตนเป็นช่างซ่อมรถจักรยานและขับแท็กซี่ รู้จักคบหากับผู้ตายมา 2 ปี โดยผู้ตายมีสามีทั้งหมด 2 คน สามีคนแรกเป็นคนไทยอยู่ที่จังหวัดชลบุรี เป็นพ่อของน้องมินท์ ส่วนคนที่ 2 เป็นชาวญี่ปุ่น เป็นพ่อของน้องโชว์ วัย 5 ขวบ ซึ่งผู้ตายเดินทางไปมาระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น เพราะสามีชาวญี่ปุ่นเป็นเจ้าของร้านอาหารอยู่ที่นั่น โดยเมื่อมาประเทศไทยจะมาพักอาศัยอยู่กับตน
นายศิริพงษ์กล่าวว่า โดยก่อนหน้านั้นผู้ตายได้ให้ตนทำเรื่องไม่ดีมาตลอด โดยเฉพาะเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาผู้ตายได้มีปัญหากับสามีคนแรก จึงสั่งให้ตนไปฆ่าสามีคนแรกของผู้ตาย แต่ตนไม่ยอมทำตามที่ผู้ตายสั่งจึงทำให้ทะเลาะกัน จากนั้นตนและผู้ตายก็ขาดการติดต่อไป จนกระทั่งผู้ตายได้ติดต่อเข้ามาและบอกว่าตอนนี้ได้คบกับผู้ชายคนใหม่ และยังคงสั่งทำเรื่องไม่ดีตลอด
นายศิริพงษ์กล่าวต่อว่า ก่อนเกิดเหตุวันเดียวกัน น.ส.สุนันท์ ได้โทรศัพท์ให้ตนไปรับที่สนามบินสุวรรณภูมิ หากไม่ไปรับก็จะส่งคนไปอุ้ม ด้วยความกลัวจึงเดินทางไป โดยได้พกอาวุธปืนขนาด .357 ไปด้วย จากนั้นก็ได้เดินทางไปรับผู้ตายพร้อมลูกทั้งสองคน โดยขณะนั่งบนรถทั้ง 3 คน ได้นั่งข้างหลังรถ โดย น.ส.สุนันท์ นั่งตรงกลางแล้วเด็กชายนั่งข้างขวา และเด็กหญิงนั่งข้างซ้าย จากนั้นระหว่างทางก็ได้มีปากเสียงกันเรื่องที่ น.ส.สุนันท์ สั่งให้ตนไปฆ่าสามีคนแรกซึ่งอยู่จังหวัดชลบุรี
“กระทั่ง น.ส.สุนันท์ ได้พูดคำว่าไม่มีน้ำยา ใช้ให้ไปฆ่าคนแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ชาตินี้ก็ได้เป็นแค่คนขับแท็กซี่ สักวันคนที่ตายก็จะถึงคิวผม ผมจึงรู้สึกโมโหหยิบปืนที่เตรียมมา เอี้ยวตัวหันหลังไปยิง” นายศิริพงษ์กล่าว
นายศิริพงษ์เปิดใจต่อว่า ขณะนั้นเอง น.ส.สุนันท์ พยายามที่จะล็อกคอผู้ต้องหาทำให้ตนยิงแบบไม่รู้ทิศทางปืนส่ายไปมากระสุนจึงพลาดไปถูกน้องมินท์และน้องโชว์ด้วย และเมื่อยิงจนนางสุนันท์เสียชีวิตห่างจากที่ยิงรถวิ่งมาได้ 1 กม. ตนก็ได้ลากศพ น.ส.สุนันท์ ลงไปทิ้ง จากนั้นก็ขับรถไปที่บ้านพัก โดยระหว่างนั้นไม่รู้ว่าน้องโชว์วัย 5 ขวบเสียชีวิตแล้ว จึงนำศพไปล้างในห้องน้ำแล้วลงมือหั่นชำแหละศพ ก่อนนำไปใส่ถุงดำจำนวน 4 ถุง และถุงร้านเซเว่นอิเลฟเว่น 1 ถุงไปทิ้ง เพราะหากนำไปทิ้งทั้งตัวจะเป็นที่สังเกต
นายศิริพงษ์กล่าวด้วยว่า สำหรับน้องมินท์ซึ่งโดนกระสุนปืน 5 นัด ตนได้จัดการทำแผลให้น้องมินท์ตามอัตภาพ จากนั้นได้นำส่ง รพ.พระราม 9 ซึ่งขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่ รพ.ดังกล่าว
นายศิริพงษ์กล่าวถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเข้ามอบตัวว่า ก่อนหน้านี้ไม่คิดจะมอบตัว คิดแต่ว่าหากหนีไม่พ้นจะฆ่าตัวตาย แต่เพราะว่าได้รับการขอร้องจากแม่ ซึ่งตนรักแม่มาก ชีวิตเป็นของแม่ ก็เลยอยากให้แม่สบายใจ อีกทั้งไม่อยากให้การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ดำเนินการไปในทางที่ผิด ส่วนที่เข้ามอบตัวที่สำนักข่าวไทย เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
ด้าน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า ดูลักษณะการยิงเหมือนผู้ต้องหาจงใจที่จะฆ่าให้ตายทั้ง 3 คน เนื่องจากได้ใช้กระสุนทั้งหมด 2 ชุด รวม 14 นัด จึงเป็นไปไม่ได้ว่าผู้ต้องหาไม่ตั้งใจฆ่า อีกทั้งผู้ต้องหายังได้ทำการเปลี่ยนลูกกระสุนปืนทำให้การของผู้ต้องหาไม่มีน้ำหนัก นอกจากนี้ จากการพุดคุยกับน้องมินท์ ระบุว่า นายศิริพงษ์ ตั้งใจจะสังหารเขาด้วย ไม่ได้ถูกกระสุนโดยบังเอิญ ตามที่นายนายศิริพงษ์กล่าวอ้าง
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้น้องมินท์รักษาตัวอยู่ที่ รพ.พระราม 9 แต่ยังไม่ได้ผ่าตัด เนื่องจากค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง โดยในวันที่ 14 ต.ค.นี้จะย้ายตัวน้องมินท์มารักษาที่ี รพ.ตำรวจ เพื่อเข้ารับการผ่าตัด ขณะนี้เจ้าหน้าที่พยายามติดต่อพ่อของน้องมินท์ แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวว่า ขณะนี้ยืนยันได้ว่านายศิริพงษ์ เป็นผู้ที่ก่อเหตุจริง เพราะมีพยานหลักฐานยืนยันชัดเจน จากการตรวจสอบกระสุนที่พบในร่างของผู้ตายทั้ง 2 คน นำเปรียบเทียบกับปืนของกลางของนายศิริพงษ์ พบว่ามาจากกระบอกเดียวกัน แต่ในเรื่องปมสังหารจะมาจากเรื่องใดยังไม่สามารถระบุได้ ต้องสอบสวนต่อไป
“ส่วนเรื่องความสับสนว่าผู้ตายเป็นคนเกาหลีนั้น เนื่องจากตอนที่พบศพในตอนแรกตำรวจคิดว่าน่าเป็นชาวต่างชาติ จึงพุ่งเป้าไปที่คนญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน หรือเกาหลี กระทั่งได้รับการประสานจากสถานทูตเกาหลีว่าน่าจะเป็นคนของเขา แต่ล่าสุดเมื่อช่วงค่ำได้รับการประสานมาจากสถานทูตเกาหลีอีกครั้งว่าผู้หญิงคนดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งขณะนี้ก็ยืนยันได้ว่าผู้ตายเป็นคนไทย” ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น.กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังไม่เชื่อคำให้การของนายศิริพงษ์มากนัก เพราะมีข้อพิรุธบางจุดทำให้เชื่อว่าเป็นการชิงทรัพย์ และขณะนี้ได้นำตัวน้องมินท์ที่เป็นพยายานสำคัญไว้ในที่ปลอดภัย เชื่อว่าจะสามารถคลี่คลายคดีได้มาก
ต่อมา พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เดินทางไปที่โรงพยาบาลพระราม 9 เพื่อเข้าเยี่ยมอาการของเด็กหญิงพิชญา หรือน้องมินท์ จงงามวิไล อายุ 13 ปี หลังถูกกระสุนลูกหลงที่นายนายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ ยิงสังหาร น.ส.สุนันท์ ศรีสุวรรณ มารดา และเด็กชายโชว์ วัย 5 ขวบ น้องชายเสียชีวิต เบื้องต้น พบว่ากระสุนถากเข้าที่แขนขวา 1 นัด กระสุนยังแฉลบไปโดนที่คอและไหปลาร้า ส่วนที่แขนซ้ายก็ถูกยิงเช่นกัน และยังมีเศษกระสุนฝังอยู่ เบื้องต้น แพทย์ให้รอดูอาการว่าต้องทำการผ่าตัดหรือไม่ รวมทั้งบาดแผลที่ไหปลาร้าก็ยังน่ากังวล อย่างไรก็ตาม น้องมินท์ยังควบคุมสติได้ดี สามารถเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นลำดับชัดเจน