00..ดีเอสไอ ถือเป็นกรมที่ถูกจับตามองอีกครั้ง หลัง “ทวี สอดส่อง” เจ้ากรม ดีเอสไอ มีข่าวเตรียมเก็บข้าวของไปนั่งตบยุงในตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปรามปราบการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. โดยสลับกับ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” เลขาธิการ ป.ป.ท. ผู้ที่ร่างกฎหมายดีเอสไอมากับมือ กลับถิ่นเก่านั่งอธิบดีดีเอสไอแทน
สำหรับ “ทวี สอดส่อง” ถือว่าเป็นบุคคลที่ถูกข่าวลือโยกย้ายมากที่สุดคนหนึ่ง และทุกครั้งเมื่อมีข่าวลือ เขาก็จะให้ลูกน้อง หรือเด็กในสังกัดออกมาตอบโต้ หรือไม่ก็จะใช้วิธีการสร้างผลงานจับคดีใหญ่ๆ เพื่อกลบเกลื่อนข่าวถูกย้าย และทุกครั้ง “ทวี สอดส่อง” เขาทำสำเร็จ
แต่เมื่อย้อนอดีตสำหรับ “ทวี สอดส่อง” พบแปลกแต่จริง...
กล่าวคือ ถือเป็น ช่วง จังหวะ เวลา ที่ตรงกัน เมื่อ “ทวี” ได้กลิ่นข่าวว่าจะถูกโยกย้าย ท่านก็จะสั่งทีมงานนัดสื่อมวลชนสายกระทรวงยุติธรรม เลี้ยงสังสรรค์พูดคุย
ครั้งแรก 22 ม.ค.2551 เวลา 17.00 น. “ทวี สอดส่อง” จัดงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์สื่อมวลชน ที่ห้องอาหารเพลิน ถนนวิภาวดีรังสิต
โดยการเลี้ยงครั้งนั้น เกิดขึ้นหลัง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ท่ามกลางหลายเหตุ หลายปัจจัย ที่เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอ โดยเฉพาะประเด็นที่มีการดักฟังโทรศัพท์ของ รมว.ยุติธรรม และอีกหลายสาเหตุในขณะนั้น
อีกครั้งกำลังจะเกิดขึ้นศุกร์สำราญ 25 ก.ย.2552 เวลา 17.00 น. “ทวี สอดส่อง” จัดงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์สื่อมวลชน โดยเบื้องต้นเลือกร้านประชาชื่น เป็นสถานที่พบปะ แม้ทีมงานจะย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นการเลี้ยงพบปะสังสรรค์สื่อมวลชนประจำปีจริงๆ แต่กลับมาตรงกับวันเวลาที่ “ทวี สอดส่อง” ถูกข่าวโยกย้ายอีกครั้ง
ส่วนครั้งนี้ “ทวี” จะยังคงเหนียวแน่นอยู่ที่ดีเอสไอ หรือมีอันต้องลาจาก... “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” คนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำตอบ
00...ยังคงอยู่ที่กรมดีเอสไอ เมื่อพบข่าวปิดไม่ลับเรื่อง “เจ้าพี” ลูกชาย “บิ๊กเบื๊อก” สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้ต้องหาคดี 7 ตุลาเลือด ที่ขณะนี้ “เจ้าพี” เขาสังกัดสำนักเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ ช่วยราชการ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ รองอธิบดีดีเอสไอ
โดยอำนาจหน้าที่ของสำนักเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ คือ เป็นหน่วยงานระดับสำนัก มีภารกิจในการวางแผน กำหนดทิศทางและมาตรฐานทางเทคโนโลยีทั้งปวงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงการพัฒนาระบบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและเป็นศูนย์ข้อมูล และศูนย์วิจัยอุปกรณ์พิเศษต่างๆ สำหรับงานทางด้านยุทธวิธีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น การตรวจขีปนวิธี อิเล็กทรอนิกส์ ลายพิมพ์นิ้วมือ และการตรวจสถานที่เกิดเหตุอื่นๆ
แต่แทนที่ “เจ้าพี” จะมุ่งมั่นปฎิบัติงานตามหน้าที่ เขากลับไม่ทำดั่งว่า เมื่อพบว่าเขาคือชายหนุ่ม ผิวดำ รูปร่างอ้วน สมชื่อ “พี” กลับไปหลงเสน่ห์สาวลูกจ้างดีเอสไอ สังกัดหน่วยงานเดียวกันเข้า โดยที่สาวนางนี้มีหน้าตาสะสวยเหมือนเด็กสาวญี่ปุ่นวัยใสเชียวละ...
ปัญหาชีวิตรัก “เจ้าพี” จะไม่เกิดขึ้น หากหญิงสาวผู้นั้นเขายังไม่มีแฟนที่รอวันแต่ง และชอบในความร่ำรวยของ “เจ้าพี”
แต่เมื่อ “เจ้าพี” ถือคติว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก เขาจึงเดินเกมตื๊อเช้าตื๊อเย็น แต่ที่แสบสุดๆ เมื่อคิดไม่ซื่อ หวังรวบรัดในเกมรัก โดยเมื่อ 3-4 อาทิตย์ที่ผ่านมา เขาโทรศัพท์ไปขอมีอะไรกับสาวนางนั้น ด้วยการเสนอเงิน 1 หมื่นบาท แลกค่าเหนื่อย
ปัญหาของ “เจ้าพี” เกิดขึ้น เมื่อถูกสาวปลายสายเขาอัดเสียงการสนทนาในทุกประโยคคำพูด และนำไปแจ้งให้กับแฟนหล่อนทราบ เรื่องไม่ได้หยุดลงแค่นั้น แต่กลับไปถึงหูผู้บังคับบัญชา และวันนี้เรื่องไปถึงมืออธิบดี แต่กลับถูกเก็บเงียบ
เรื่องเงียบเพราะ “เจ้าพี” เขาคือลูก “บิ๊กเบื๊อก” เพื่อนรัก “ทักษิณ” ผู้เป็นนายของ “ทวี สอดส่อง” บิ๊กดีเอสไอ หรือไม่ มิอาจทราบได้ครับ..
แต่สำหรับสาวนางนั้น วันนี้เขาอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้ว่าวันไหน “เจ้าพี” หื่นขึ้นมาโทร.มาขอเคลมอีก หรือวันใดเขาอาจถูกเลิกจ้างพ้นหน้าที่รับผิดชอบ นี่คือ...เรื่องฉาวๆ ที่คนดีเอสไอพูดกันให้แซ่ด!!!
00...ปิดท้ายเรื่องความลักลั่นที่ได้เกิดขึ้นกับกระบวนการยุติธรรม ชั้นอัยการ(ทนายแผ่นดิน)เมื่อโฆษกอัยการ ออกมาตำหนิ คตส.ว่า “คนแก่ดื้อ” เป็นต้นเหตุแห่งผลคำพิพากษายกฟ้องคดี ทุจริตกล้ายางพารา ที่ “เนวิน ชิดชอบ” และพวกรวม 44 คน หลุดพ้นขอกล่าวหาด้วยประการทั้งปวง
วันนี้...จึงทำให้ถูกมองไปถึงคดีหวยบนดิน ที่ศาลฎีกานักการเมือง จะพิพากษาในวันที่ 30 ก.ย.นี้ คดีนี้ เหมือนกัน และแตกต่าง แต่ในความเหมือน และความต่าง หากเป็นการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นไปตามวิธีทาง ถือว่า ใครแพ้ ใครชนะ อยู่ที่พยานหลักฐานของแต่ละฝ่าย
แต่เมื่อความจริงของการต่อสู้คดีหวยบนดิน กลับพบว่า ทีมอัยการ ที่ไม่เห็นด้วยกับ การฟ้องคดีของ คตส.กลับไปเล่นตามบทจำเลย ด้วยการขึ้นเบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลย หักล้าง น้ำหนักพยานฝ่าย คตส.(โจทก์) จึงอดคิดไม่ได้ว่า มันแปลกแต่จริงนะครับ
แม้การต่อสู้คดี เมื่อศาลออกหมายเรียกบุคคลใดมาเป็นพยาน ถือว่า บุคคลคนนั้นต้องปฎิบัติตาม แต่กฎหมายก็ไม่ตัดสิทธิ์ บุคคลคนนั้นที่จะอ้างเหตุผลเพื่อไม่ไปเป็นพยาน เช่น อัยการ ซึ่งทำหน้าที่ทนายแผ่นดิน แม้ อัยการจะไม่เห็นด้วยกับ คตส.แต่ก็สามารถปฎิเสธไม่ขอให้การช่วยเหลือฝ่ายจำเลยได้ และถือเป็นการปฏิเสธที่น่าจะเกิดประโยชน์ต่อทางราชการ ต่อประเทศชาติ ไม่ใช่ไปให้การเพื่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายจำเลย
ดังนั้น เวลาดี 14.00 น.วันที่ 30 ก.ย.นี้ ผลแห่งคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร ถือเป็นดุลพินิจของศาล แต่สำหรับความจริง ที่ถูกบันทึกไว้สำหรับการต่อสู้คดีในศาลคือ “ทีมอัยการไปให้การเป็นพยานฝ่ายจำเลย”....คดีหวยบนดิน
สำหรับ “ทวี สอดส่อง” ถือว่าเป็นบุคคลที่ถูกข่าวลือโยกย้ายมากที่สุดคนหนึ่ง และทุกครั้งเมื่อมีข่าวลือ เขาก็จะให้ลูกน้อง หรือเด็กในสังกัดออกมาตอบโต้ หรือไม่ก็จะใช้วิธีการสร้างผลงานจับคดีใหญ่ๆ เพื่อกลบเกลื่อนข่าวถูกย้าย และทุกครั้ง “ทวี สอดส่อง” เขาทำสำเร็จ
แต่เมื่อย้อนอดีตสำหรับ “ทวี สอดส่อง” พบแปลกแต่จริง...
กล่าวคือ ถือเป็น ช่วง จังหวะ เวลา ที่ตรงกัน เมื่อ “ทวี” ได้กลิ่นข่าวว่าจะถูกโยกย้าย ท่านก็จะสั่งทีมงานนัดสื่อมวลชนสายกระทรวงยุติธรรม เลี้ยงสังสรรค์พูดคุย
ครั้งแรก 22 ม.ค.2551 เวลา 17.00 น. “ทวี สอดส่อง” จัดงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์สื่อมวลชน ที่ห้องอาหารเพลิน ถนนวิภาวดีรังสิต
โดยการเลี้ยงครั้งนั้น เกิดขึ้นหลัง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ท่ามกลางหลายเหตุ หลายปัจจัย ที่เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอ โดยเฉพาะประเด็นที่มีการดักฟังโทรศัพท์ของ รมว.ยุติธรรม และอีกหลายสาเหตุในขณะนั้น
อีกครั้งกำลังจะเกิดขึ้นศุกร์สำราญ 25 ก.ย.2552 เวลา 17.00 น. “ทวี สอดส่อง” จัดงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์สื่อมวลชน โดยเบื้องต้นเลือกร้านประชาชื่น เป็นสถานที่พบปะ แม้ทีมงานจะย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นการเลี้ยงพบปะสังสรรค์สื่อมวลชนประจำปีจริงๆ แต่กลับมาตรงกับวันเวลาที่ “ทวี สอดส่อง” ถูกข่าวโยกย้ายอีกครั้ง
ส่วนครั้งนี้ “ทวี” จะยังคงเหนียวแน่นอยู่ที่ดีเอสไอ หรือมีอันต้องลาจาก... “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” คนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำตอบ
00...ยังคงอยู่ที่กรมดีเอสไอ เมื่อพบข่าวปิดไม่ลับเรื่อง “เจ้าพี” ลูกชาย “บิ๊กเบื๊อก” สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้ต้องหาคดี 7 ตุลาเลือด ที่ขณะนี้ “เจ้าพี” เขาสังกัดสำนักเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ ช่วยราชการ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ รองอธิบดีดีเอสไอ
โดยอำนาจหน้าที่ของสำนักเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ คือ เป็นหน่วยงานระดับสำนัก มีภารกิจในการวางแผน กำหนดทิศทางและมาตรฐานทางเทคโนโลยีทั้งปวงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงการพัฒนาระบบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและเป็นศูนย์ข้อมูล และศูนย์วิจัยอุปกรณ์พิเศษต่างๆ สำหรับงานทางด้านยุทธวิธีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น การตรวจขีปนวิธี อิเล็กทรอนิกส์ ลายพิมพ์นิ้วมือ และการตรวจสถานที่เกิดเหตุอื่นๆ
แต่แทนที่ “เจ้าพี” จะมุ่งมั่นปฎิบัติงานตามหน้าที่ เขากลับไม่ทำดั่งว่า เมื่อพบว่าเขาคือชายหนุ่ม ผิวดำ รูปร่างอ้วน สมชื่อ “พี” กลับไปหลงเสน่ห์สาวลูกจ้างดีเอสไอ สังกัดหน่วยงานเดียวกันเข้า โดยที่สาวนางนี้มีหน้าตาสะสวยเหมือนเด็กสาวญี่ปุ่นวัยใสเชียวละ...
ปัญหาชีวิตรัก “เจ้าพี” จะไม่เกิดขึ้น หากหญิงสาวผู้นั้นเขายังไม่มีแฟนที่รอวันแต่ง และชอบในความร่ำรวยของ “เจ้าพี”
แต่เมื่อ “เจ้าพี” ถือคติว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก เขาจึงเดินเกมตื๊อเช้าตื๊อเย็น แต่ที่แสบสุดๆ เมื่อคิดไม่ซื่อ หวังรวบรัดในเกมรัก โดยเมื่อ 3-4 อาทิตย์ที่ผ่านมา เขาโทรศัพท์ไปขอมีอะไรกับสาวนางนั้น ด้วยการเสนอเงิน 1 หมื่นบาท แลกค่าเหนื่อย
ปัญหาของ “เจ้าพี” เกิดขึ้น เมื่อถูกสาวปลายสายเขาอัดเสียงการสนทนาในทุกประโยคคำพูด และนำไปแจ้งให้กับแฟนหล่อนทราบ เรื่องไม่ได้หยุดลงแค่นั้น แต่กลับไปถึงหูผู้บังคับบัญชา และวันนี้เรื่องไปถึงมืออธิบดี แต่กลับถูกเก็บเงียบ
เรื่องเงียบเพราะ “เจ้าพี” เขาคือลูก “บิ๊กเบื๊อก” เพื่อนรัก “ทักษิณ” ผู้เป็นนายของ “ทวี สอดส่อง” บิ๊กดีเอสไอ หรือไม่ มิอาจทราบได้ครับ..
แต่สำหรับสาวนางนั้น วันนี้เขาอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้ว่าวันไหน “เจ้าพี” หื่นขึ้นมาโทร.มาขอเคลมอีก หรือวันใดเขาอาจถูกเลิกจ้างพ้นหน้าที่รับผิดชอบ นี่คือ...เรื่องฉาวๆ ที่คนดีเอสไอพูดกันให้แซ่ด!!!
00...ปิดท้ายเรื่องความลักลั่นที่ได้เกิดขึ้นกับกระบวนการยุติธรรม ชั้นอัยการ(ทนายแผ่นดิน)เมื่อโฆษกอัยการ ออกมาตำหนิ คตส.ว่า “คนแก่ดื้อ” เป็นต้นเหตุแห่งผลคำพิพากษายกฟ้องคดี ทุจริตกล้ายางพารา ที่ “เนวิน ชิดชอบ” และพวกรวม 44 คน หลุดพ้นขอกล่าวหาด้วยประการทั้งปวง
วันนี้...จึงทำให้ถูกมองไปถึงคดีหวยบนดิน ที่ศาลฎีกานักการเมือง จะพิพากษาในวันที่ 30 ก.ย.นี้ คดีนี้ เหมือนกัน และแตกต่าง แต่ในความเหมือน และความต่าง หากเป็นการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นไปตามวิธีทาง ถือว่า ใครแพ้ ใครชนะ อยู่ที่พยานหลักฐานของแต่ละฝ่าย
แต่เมื่อความจริงของการต่อสู้คดีหวยบนดิน กลับพบว่า ทีมอัยการ ที่ไม่เห็นด้วยกับ การฟ้องคดีของ คตส.กลับไปเล่นตามบทจำเลย ด้วยการขึ้นเบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลย หักล้าง น้ำหนักพยานฝ่าย คตส.(โจทก์) จึงอดคิดไม่ได้ว่า มันแปลกแต่จริงนะครับ
แม้การต่อสู้คดี เมื่อศาลออกหมายเรียกบุคคลใดมาเป็นพยาน ถือว่า บุคคลคนนั้นต้องปฎิบัติตาม แต่กฎหมายก็ไม่ตัดสิทธิ์ บุคคลคนนั้นที่จะอ้างเหตุผลเพื่อไม่ไปเป็นพยาน เช่น อัยการ ซึ่งทำหน้าที่ทนายแผ่นดิน แม้ อัยการจะไม่เห็นด้วยกับ คตส.แต่ก็สามารถปฎิเสธไม่ขอให้การช่วยเหลือฝ่ายจำเลยได้ และถือเป็นการปฏิเสธที่น่าจะเกิดประโยชน์ต่อทางราชการ ต่อประเทศชาติ ไม่ใช่ไปให้การเพื่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายจำเลย
ดังนั้น เวลาดี 14.00 น.วันที่ 30 ก.ย.นี้ ผลแห่งคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร ถือเป็นดุลพินิจของศาล แต่สำหรับความจริง ที่ถูกบันทึกไว้สำหรับการต่อสู้คดีในศาลคือ “ทีมอัยการไปให้การเป็นพยานฝ่ายจำเลย”....คดีหวยบนดิน