เปิดโปง“ทุจริตโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง”ตอนจบ

สำหรับขั้นตอนรูปแบบการทุจริตในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง พบว่ามีการโกงชาติ โกงแผ่นดิน แบบมหาโกงเลยทีเดียว

โดยพบว่าโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังประจำปี 2551/2552 จะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 จนถึงเดือนเมษายน 2552 โดยกำหนดราคาประกันเริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 ในราคากิโลกรัมละ 1.80 บาท และเพิ่มราคาขึ้นไปเดือนละ 5 สตางค์ เดือนธันวาคม 2551 ราคากิโลกรัมละ 1.85 บาท, เดือนมกราคม 2552 ราคากิโลกรัมละ 1.90 บาท, เดือนกุมภาพันธ์ 2552 ราคากิโลกรัมละ 1.95 บาท, เดือนมีนาคม 2552 ราคากิโลกรัมละ 2.00 บาท และเดือนเมษายน 2552 ราคากิโลกรัมละ 2.05 บาท แต่ปรากฏว่าเมื่อเกษตรกรนำมันไปจำนำกับลานมันที่ถูกจับกุมแล้ว และที่กำลังจะขยายผลการจับกุมอีกประมาณ 4-5 ลาน ในพื้นที่อำเภอน้ำยืน และอำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี พบว่าไม่มีเกษตรกรผู้ใดสามารถจำนำมันได้ในราคาประกันได้

โดยมีหลักฐานที่เห็นชัดเจน คือ มีเกษตรกรรายหนึ่งนำมันไปจำนำเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ราคารับจำนำจะต้องเป็นกิโลกรัมละ 1.80 บาท ลานมันจะออกหลักฐานการรับฝากมันเป็นเศษกระดาษที่มีการเขียนด้วยลายมือว่า น้ำหนักมันที่นำไปจำนำ และราคาที่รับจำนำไว้เป็นเท่าใด การปฏิบัติในขั้นตอนนี้ก็ไม่ถูกต้องเพราะต้องมีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดประมาณ 5-6 คน ประจำอยู่ที่จุดรับจำนำในแต่ละลานมัน เพื่อตรวจสอบชั่งน้ำหนักมัน และออกหลักฐานใบรับฝากมัน (มปล.๑) ให้กับเกษตรกร

**เจ้าหน้าที่รัฐละเว้นเปิดช่องทุจริต**

จากคำยืนยันของเกษตรกรที่ให้การกับ ดีเอสไอ ว่า ในวันที่นำมันไปจำนำไม่พบเจ้าหน้าที่ของรัฐแม้แต่เพียงคนเดียวนอกจากคนของลานมันเท่านั้นที่เป็นผู้ชั่งน้ำหนักมัน การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้นับเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการทุจริตขึ้นอย่างมโหฬาร เพราะไม่มีผู้ใดควบคุมและตรวจสอบการชั่งน้ำหนักมัน เท่านั้นยังไม่พอ การออกใบประทวนสินค้าต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน

ปรากฏจากคำให้การของเกษตรกรว่า กว่าจะได้รับใบประทวนสินค้าก็ตกประมาณ 1-3 เดือน ทำเช่นนี้เพื่ออะไรกระนั้นหรือ เป็นอย่างนี้... ราคามันจะขึ้น 5 สตางค์ทุกเดือน รับจำนำมันเดือนพฤศจิกายน 2551 ราคากิโลกรัมละ 1.80 บาท หากออกใบประทวนสินค้าในเดือนมีนาคม 2552 ราคามันที่รับจำนำจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.00 บาท ในวันที่ลานมันเรียกเกษตรกรไปรับใบประทวนสินค้า ก็จะบอกให้เกษตรกรเซ็นชื่อเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมให้อ่านสำหรับเกษตรกรที่อ่านหนังสือออก แต่ส่วนใหญ่อ่านหนังสือไม่ออก จึงเซ็นชื่ออย่างเดียวตามคำสั่ง ในขณะที่นำใบประทวนสินค้าให้เกษตรกรลงชื่อ เจ้าหน้าที่ได้สอดแทรกใบรับฝากมัน (มปล.๑) ไปให้เกษตรกรเซ็นชื่อด้วย เพราะความซื่อบริสุทธิ์ของเกษตรกร จึงเชื่อโดยสุจริตใจว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะไม่โกง ก็เซ็นชื่อไปตามที่เขาบอกให้เซ็น

แต่ที่ไหนได้เมื่อ ดีเอสไอ นำใบรับฝากมันและใบประทวนสินค้าไปให้เกษตรกรดู ปรากฏว่าเป็นการลงรายการเท็จทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนน้ำหนักมันที่รับจำนำ หรือราคามันที่รับจำนำ เช่น เกษตรกรนำมันจำนวน 50 ตัน ไปจำนำในเดือนพฤศจิกายน 2551 จะต้องได้ราคากิโลกรัมละ 1.80 บาท แต่ปรากฏว่าลานมันกดราคารับจำนำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 1.60 บาท แต่ปรากฏว่าในใบประทวนสินค้าที่ ดีเอสไอ ให้เกษตรกรดู ปรากฏว่ามีปริมาณมันเพิ่มขึ้นเป็น 150 ตัน และราคาที่รับจำนำ ณ เดือนมกราคม 2552 ที่รับใบประทวนสินค้าอยู่ที่กิโลกรัมละ 1.90 บาท คิดเป็นเงิน 285,000 บาท แต่เมื่อเกษตรกรนำใบประทวนสินค้าไปรับเงินจำนวน 285,000 บาท ที่ ธกส. คนของลานมันจะเอาเงินของเกษตรกรไปทั้งหมด และเกษตรกรต้องตามไปที่ลานมันเพื่อรับเงินที่เกษตรกรจะได้รับ ปรากฏว่า เกษตรกรรายนั้นได้รับเงินเพียง 77,600 บาท เท่านั้น (ที่จริงแล้วเงินที่เกษตรกรควรจะได้รับน่าจะอยู่ที่ประมาณ 87,300 บาท (50,000 x 1.80 = 90,000 หักค่าใช้จ่ายและสิ่งปลอมปนอีกไม่เกิน 3 % ประมาณ 2,700 บาท คงเหลือเงินประมาณ 87,300 บาท) เงินส่วนที่เหลืออีก 207,400 บาท ตกเป็นของลานมัน สำหรับจำนวนมันที่เพิ่มขึ้นอีก 100 ตัน ตามที่ปรากฏในใบประทวนสินค้า ลานมันจะนำมันที่ซื้อจากเกษตรกรในราคาถูกเข้าไปสวมสิทธิแทน กรณีทุจริตในลักษณะการสวมสิทธินี้ จะพบค่อนข้างมากในบรรดาเกษตรกรที่เข้าให้ปากคำกับ ดีเอสไอ ซึ่งเป็นการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรอย่างโหดร้าย

**โกงไม่บันทึกราคามัน-ซื้อเหมา**

การทุจริตอีกรูปแบบหนึ่งที่พบในโครงการฯ คือ เกษตรกรนำมันไปจำนำหลายครั้ง ปรากฏว่าลานมันแห่งนี้ออกหลักฐานการรับมันให้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และพบว่า มีการยักยอกมันของเกษตรกรไปหลายครั้ง ด้วยการไม่บันทึกราคามันที่รับจำนำไว้ในใบชั่งน้ำหนักมันหลายใบ คงระบุเพียงน้ำหนักมันที่รับจำนำไว้เท่านั้น และเมื่อนำหลักฐานไปตรวจสอบกับใบรับฝากมัน (มปล.๑) และใบประทวนสินค้าจะเห็นได้ชัดเจนว่า จำนวนมันที่เกษตรกรนำไปจำนำมีจำนวนลดลง เข้าข่ายเป็นการยักยอกมันของเกษตรกรด้วย

การทุจริตรูปแบบอื่น ๆ ที่ตรวจพบและค่อนข้างหนักหาสาหัสคือ ลานมันจะไปซื้อเหมามันจากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนฯ ไว้ โดยซื้อมันเหมากันเป็นไร่ในราคาไร่ละประมาณ 5,000 บาท และลานมันจะเป็นผู้เก็บมันเองโดยว่าจ้างแรงงานเข้าไปเก็บมัน แล้วทำหลักฐานเท็จทั้งใบรับฝากมัน (มปล.๑) และใบประทวนสินค้า ว่ารับจำนำไว้เต็มจำนวนตามโควต้าคือ 250 ตัน เป็นเงิน 35,000 การทุจริตรูปแบบนี้ลานมันจะรับเงินจากเกษตรไปทั้งหมดภายหลังเกษตรกรนำใบประทวนสินค้าไปขึ้นเงินกับ ธกส.แล้ว

**ทุจริตสวมสิทธิเกษตรกรพบมากสุด**

การทุจริตรูปแบบสุดท้ายที่ตรวจพบและมีปริมาณมากที่สุดได้แก่ การสวมสิทธิมันที่เกษตรกรนำไปจำนำ เช่น เกษตรกรนำมันไปจำนำกับลานมัน 100 ตัน แต่ลานมันบอกเกษตรกรว่า สามารถรับจำนำได้เพียง 50 ตัน เท่านั้น หากเกษตรกรจะจำนำมันที่เหลือจะต้องจำนำในราคาหน้าลานมันคือ กิโลกรัมละ 80-90 สตางค์ ในส่วนของมันจำนวน 50 ตัน ที่รับจำนำไว้ เกษตรจะถูกกดราคาเช่นเดียวกัน โดยราคาที่ลานมันรับจำนำจะอยู่ที่ประมาณ 1.50-1.65 บาท ทั้ง ๆ ที่ ณ วันที่เกษตรกรนำมันไปจำนำจะอยู่ที่กิโลกรัมละตั้งแต่ 1.80 บาทขึ้นไป และอีก 50 ตันที่เหลือซึ่งเป็นโควตาของเกษตรกร ลานมันได้นำมันที่ซื้อจากเกษตรกรในราคาถูกเข้าสวมสิทธิ์แทน จากนั้นลานมันและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะร่วมกันออกหลักฐานเท็จในใบประทวนสินค้าโดยกำหนดราคามัน ณ วันที่ออกใบประทวนสินค้า ซึ่งสูงกว่าราคาที่รับจำนำไว้ เมื่อเกษตรกรนำใบประทวนสินค้าไปรับเงินที่ ธกส. คนของลานมันจะรับเงินจากเกษตรกรไปทั้งหมด แล้วพาเกษตรกรไปที่ลานมันและจ่ายเงินให้กับเกษตรกรเท่าจำนวนมันและราคามันที่รับจำนำไว้จริงเท่านั้น

จากข้อมูลข้างต้น คงมองเห็นภาพและรูปแบบของการทุจริตโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังแล้วว่า มันทุจริตโกงชาติ โกงแผ่นดิน โกงบ้านเมืองกันอย่างไร แล้วเงินที่รัฐบาลนำไปช่วยเกษตรกรมาจากไหน มิใช่มาจากภาษีของประชาชนหรือ แต่เงินที่รัฐบาลตั้งใจจะให้ตกไปถึงมือของเกษตรกรนั้นเป็นแนวนโยบายที่ดี แต่ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะนายทุน เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนเกิดความเสียแก่พี่น้องเกษตรกรมากมาย

นอกจากนั้นยังมีการทำหลักฐานเท็จ ปลอมเอกสารราชการ ทำคำรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ และยักยอกมันของเกษตรกร ที่สำคัญคือมันเป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย โกงแม้กระทั่งเกษตรกรที่มีแต่ความซื่อใสบริสุทธิ์และเชื่อในความซื่อสัตย์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อยากให้พี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศได้รับรู้ถึงการโกงชาติ โกงแผ่นดิน โกงบ้านเมืองในครั้งนี้โดยทั่วกัน

โดยคำถามหนึ่งที่เกษตรกรถาม ดีเอสไอ แล้วต้องสะอึกก็คือ “หาก ดีเอสไอ จับลานมันหมดแล้ว เขาจะเอามันไปจำนำกับใคร”

ขณะที่คำถามของ ดีเอสไอ ว่าต้องการให้ช่วยเหลือประการใดบ้าง คำตอบที่สะใจของเกษตรกรผู้หนึ่งคือ “ขอให้ ดีเอสไอ ดำเนินคดีกับลานมัน อย่าให้มันได้ผุดได้เกิด”

**พบปัญหา อคส.,ธกส.ไม่ให้ความร่วมมือ**

อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดี ถือว่าพบปัญหาสำคัญที่จะเอาผิดกับเจ้าของลานมันและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็คือการไม่ได้รับความร่วมมือจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่ไม่ยอมส่งหลักฐานใบประทวนสินค้าไปให้กับ ดีเอสไอ ซึ่งได้ทวงถามไปหลายครั้งแล้ว เนื่องจากใบประทวนสินค้าที่เกษตรกรนำไปขอรับเงินจาก ธกส.นั้นจะเป็นพยานหลักฐานสำคัญยิ่งในการพิสูจน์ความผิดของลานมันและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ อคส.ประจำแต่ละลานมัน เพราะเหตุผลนี้ใช่หรือไม่ที่ อคส.ไม่ยอมส่งใบประทวนสินค้าให้กับ ดีเอสไอ หากส่งไปเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ อคส.ทุกคนอาจถูก ดีเอสไอ ดำเนินคดีอย่างแน่นอน

เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เกษตรกรหลายคนให้ข้อมูลว่า ถูกลานมันข่มขู่คุกคาม โดยเฉพาะการข่มขู่ว่า หากไปให้ข้อมูลกับ ดีเอสไอ จะถูก ดีเอสไอ จับกุมดำเนินคดี และหากต้องไปให้การ จะต้องยืนยันคำให้การตามหลักฐานในใบประทวนสินค้าเท่านั้น มิฉะนั้นจะมีความผิด หรือให้บอกกับ ดีเอสไอ ว่าไม่เสียหาย การข่มขู่คุกคามเช่นนี้ยิ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างมั่นคงว่า ลานมันและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่เพียงใด

อีกหน่วยงานหนึ่งที่ยังไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าที่ควรก็คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)ที่ยังไม่ยอมไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับ ดีเอสไอ โดยอ้างว่ามิใช่ผู้เสียหาย เนื่องจากการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรนั้นเป็นการจ่ายตามใบประทวนสินค้า ซึ่ง ธกส.เชื่อในความถูกต้องของใบประทวนสินค้า จึงจ่ายเงินให้กับเกษตรกรไป ธกส.จึงไม่เสียหาย

วันนี้ขบวนการ“ทุจริตโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง”ดีเอสไอ ส่งสำนวนให้กับพนักงานอัยการแล้ว และหวังว่าอัยการที่ได้รับขนานนามว่าเป็น “ทนายแผ่นดิน”จะเร่งรัดฟ้องคดีกับลานมันโดยเร็ว