xs
xsm
sm
md
lg

“พิชิฏ” ไม่สำนึก อ้างไม่เป็นธรรมถูกยึดตั๋วทนาย 5 ปี!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายพิชิฏ ชื่นบาน
“ทนายแม้ว” พิชิฏ ชื่นบาน ไม่สำนึก ถูกถอดจากหมอความ 5 ปี อ้างสถาทนายประชุมลับๆ ล่อๆ กรรมการส่วนใหญ่เป็นเหมือน คตส.ยันเดินหน้าสู้เรียกร้องความเป็นธรรม ร้อง รมว.ยุติธรรม ฟ้องศาลปกครอง ระบุ มีความสุขที่เป็นเป็นกุนซือด้านกฎหมายให้ “ป๋าแม้ว ณ แอฟริกา”

วันนี้ (9 ก.ย.) นายพิชิฏ ชื่นบาน อดีตทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่ดินรัชดา ให้สัมภาษณ์ภายหลังคณะกรรมการมารยาท สภาทนายความ มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 3 เสียง ว่า กระทำผิดข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมารยาททนายความ โดยลงโทษให้ลบชื่อออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้เป็นเวลา 5 ปีว่า ตนทราบว่า มีการเรียกประชุมกรรมการมาตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 8 ก.ย.และทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ประธานกรรมการมารยาทของทนายความ เป็นทนายความที่รับทำคดีหวยบนดินจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อีกทั้งยังมีความพยายามเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว.ในสัดส่วนของสภาทนายความ ดังนั้น ตนจะได้รับความเป็นธรรมตรงไหน อีกทั้งเหตุใดถึงเรียกประชุมแบบลับๆ ล่อๆ กรรมการส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือน คตส.แต่บางคนก็เป็นคนดี ขอขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรมกับตน ที่ผ่านมา มีเพื่อนทนายความของตนจำนวนมากรับรู้ถึงความไม่เป็นธรรม และพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนมาตลอด แต่หัวหน้าคณะกรรมการก็เป็นเหมือน คตส.

นายพิชิฏ กล่าวด้วยว่า ตนไม่ยอมรับคำตัดสินของคณะกรรมการ ตนประกอบอาชีพทนายความมา 30 ปี ต่อสู้ด้วยเนื้อหาข้อกฏหมาย มั่นใจว่า ตัวเองไม่เคยประพฤติผิดมารยาทของทนายความ แต่กรรมการส่วนใหญ่ที่ตัดสินว่าตนผิดนั้น เพราะตนเป็นทนายความให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหลังจากนี้ ตนจะยื่นอุทธรณ์ต่อ รมว.ยุติธรรม และต่อสู้ทางกระบวนการทางศาลปกครองต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมนั้นตนไม่หวังอะไรมาก เพราะ รมว.ยุติธรรม เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ และตนมีความสุขที่จะทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2551 ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุกนายพิชิฏ กับพวกรวม 3 คน เป็นเวลา 6 เดือน ในคดีดำ ลอ.1/2551 หมายเลขแดงที่ 4599/2551 ความแพ่ง ระหว่างนายอนันต์ วงศ์ประภารัตน์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหา และ นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร, น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และ นายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-3 เรื่องละเมิดอำนาจศาลโดยระบุความผิดชัดเจนไว้ว่า

คดีนี้สืบเนื่องจาก นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ทำหนังสือบันทึกลงวันที่ 10 มิ.ย.51 ถึง นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2551 เวลา 09.30 น.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มารายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งวันดังกล่าว นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ศาลฎีกาฯ หลังจากนั้น หม่อมหลวง ฐิติพงศ์ ชมพูนุช นิติกรประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เข้ามาสอบถามเรื่องที่ทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิ่งของ ซึ่งเป็นถุงกระดาษสีขาวปิดสก๊อตเทปใสมิดชิด มาให้เจ้าหน้าที่ว่าจะรับไว้ได้หรือไม่ โดยเมื่อเปิดถุงแล้วพบธนบัตร 1,000 บาท จำนวน 2 ตั้งๆ ละ 10 มัด รวมประมาณ 2 ล้านบาท นายอนันต์ จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ส่งคืน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึงศาลเพื่อรายงานตัว

จากการไต่สวน หม่อมหลวง ฐิติพงศ์ ชมพูนุช นิติกรประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ความว่า ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึง นายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 สั่งให้ นางสาวศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แจ้งต่อ ม.ล.ฐิติพงศ์ ว่า ให้ไปพบเพื่อจะปรึกษาคดี ม.ล.ฐิติพงศ์ จึงไปพบที่ห้องพักทนายความ ซึ่งภายในห้องมีเพียง 2 คน โดย ม.ล.ฐิติพงศ์ นั่งโต๊ะตรงข้ามกับนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ซึ่งได้หยิบถุงกระดาษส่งให้ พร้อมบอกว่า “ระยะนี้ต้องมาติดต่อบ่อย เห็นใจเจ้าหน้าที่ เลยเอาของมาฝาก ให้ไปแบ่งกัน” จากนั้น ม.ล.ฐิติพงศ์ จึงได้เดินไปหา นายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ แต่ไม่อยู่ เนื่องจากเดินทางไปประชุมที่รัฐสภา จึงไปพบ นายอนันต์ ที่ตรวจงานอยู่ นายอนันต์ จึงสั่งให้เปิดถุง เมื่อพบว่าเป็นเงิน จึงสั่งให้คืนเจ้าของไป เพราะการรับถุงไว้น่าจะเป็นการไม่ชอบ อาจละเมิดอำนาจศาล และเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน โดยได้มีการถ่ายรูปธนบัตร และถุงไว้เป็นหลักฐาน

ศาลฎีกาประชุมตรวจสำนวนแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2551 เวลา 09.30 น.นายพิชิฏ, นางสาวศุภศรี และ นายธนา ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ขึ้นไปยังชั้น 4 เพื่อยื่นคำร้องการรายงานตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน จำเลยในคดีทุจริตซื้อขายที่รัชดาภิเษก หลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งมี ม.ล.ฐิติพงศ์ เป็นผู้ดูแลสำนวน โดยนางสาวศุภศรี เสมียนทนายของนายพิชิฏ ซึ่งเป็นทนายเจ้าของคดี ได้นำคำร้องยื่นต่อศาลก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯเพื่อรายงานตัว โดยนางสาวศุภศรี ได้มาแจ้งกับ ม.ล.ฐิติพงศ์ ว่า นายธนา ให้ไปพบ เพื่อปรึกษาคดีที่ห้องพักทนายความ ทั้งที่ นายธนา ยืนห่างเพียง 1 วา และเมื่อเข้าไปพบ นายธนา กลับยื่นถุงกระดาษซึ่งปิดผนึกมิดชิด ภายในบรรจุเงิน 2 ล้านบาท โดยไม่บอกว่าภายในบรรจุอะไร เพียงแต่ให้เอาแบ่งกัน ซึ่งจากการไต่สวน นายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 อ้างว่า เมื่อคืนวันที่ 9 มิ.ย.เวลา 21.00 น.นายบุญชาญ อักษรสุวรรณ ได้นำเงินจำนวน 2 ล้านบาท ที่ได้ซื้อบ้านผู้ถูกกล่าวหาในราคา 5.3 ล้านบาท มาให้ และได้เตรียมนำเงินดังกล่าวไปฝากธนาคารในวันรุ่งขึ้น โดยให้ภรรยาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน นำเงินบรรจุใส่ถุงกระดาษปิดผนึกมิดชิด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ให้ภรรยาไปซื้อช็อกโกแลต และห่อในลักษณะเดียวกัน เพื่อเตรียมมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลในวันที่ 10 มิ.ย.2551 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องรายงานตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่างๆ ในคดี ขณะที่วันเกิดเหตุได้นำถุงขนมวางไว้ที่นั่งด้านหลังเบาะรถ ส่วนห่อเงินได้ใส่ไว้ที่กระโปรงหลังท้ายรถ แต่ตนได้หยิบถุงผิดไป เมื่อทราบจึงแจ้งให้ นายพิชิฏ ทราบเพื่อทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ โดย นายพิชิฏ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้โทรศัพท์หา ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมกล่าวคำขอโทษ แต่ ม.ล.ฐิติพงศ์ แจ้งว่า ได้ทำบันทึกถึงผู้บังคับบัญชาแล้ว

คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า นายธนา รู้หรือควรรู้ว่าในถุงมีเงินอยู่หรือไม่ ซึ่งในการไต่สวน ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้การว่า นายธนา เป็นผู้หยิบถุงเงินที่ปิดมิดชิดมอบให้โดยไม่แจ้งว่าเป็นสิ่งใด ก่อนจะเปิดพบเป็นเงิน ผู้บังคับบัญชาจึงได้สั่งให้ส่งคืนไป โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลนำถุงส่งคืนกับมือนายธนา พร้อมถามว่า รู้หรือไม่ว่าข้างในมีอะไร นายธนา ได้ตอบว่า รู้ และเดินกลับไป โดยไม่มีท่าทีอิดเอื้อนตอบกลับ ซึ่งเป็นพิรุธ เห็นว่า หากเป็นไปตามที่นายธนากล่าวอ้าง ว่า หยิบถุงผิดไป โดยคนขับรถเป็นผู้นำถุงผิดมาให้ตน โดยไม่มีการตรวจสอบก่อน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าของ 2 สิ่ง ลักษณะห่อเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติว่าจะมีการหยิบผิด และเมื่อเจ้าหน้าที่ทักท้วงก็ต้องเปิดดู และตรวจสอบสิ่งของ แต่กลับไม่ดำเนินการ อีกทั้งหาก นายธนา จะนำช็อกโกแลตมามอบให้จริง ก็ควรจะนำไปมอบให้ที่เคาน์เตอร์อย่างเปิดเผย เพื่อความบริสุทธ์ใจ จึงเชื่อว่า นายธนา ได้รู้อยู่แล้วว่าในถุงกระดาษดังกล่าวมีเงิน 2 ล้าน

คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อว่า นายพิชิฏ และ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกลาวหาที่ 1 และ 2 มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความร่วมมือในการกระทำของนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 หรือไม่ จากการไต่สวน ม.ล.ฐิตพงศ์ ได้ความว่า นายพิชิฏ เป็นทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ส่วน น.ส.ศุภศรี เป็นเสมียนทนายและเลขานุการส่วนตัวของนายพิชิฏ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ส่วนนายธนา เป็นผู้ติดตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันเกิดเหตุผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน ได้มายื่นคำร้อง ขณะที่ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มาแจ้ง ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้ไปพบ นายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ปรากฏว่า ทั้ง นายพิชิต และ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-2 อยู่ในเหตุการณ์ด้วย อีกทั้งเมื่อ ม.ล.ฐิติพงศ์ เดินเข้าไปพบ นายธนา ที่ห้องพักทนายความแล้วเดินออกมาพร้อมถุงกระดาษ นายพิชิต และ น.ส.ศุภศรี ก็ได้เห็นเหตุการณ์ วิสัยของคนทำงานร่วมกัน นายพิชิต จะต้องสอบถามและซักไซ้หรือบอกกล่าวให้รู้กันว่าจะนำช็อกโกแลตมาให้เจ้าหน้าที่ศาลโดยไม่ต้องปิดบัง ซึ่ง นายพิชิฏ เป็นหัวหน้าคณะทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน การกระทำของนายธนา นอกจากจะเป็นเรื่องร้ายแรงแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีและกระทบต่อวิชาชีพของนายพิชิฏ แทนที่จะซักไซ้ไล่เรียงให้เกิดความชัดเจน หรือนำถุงสิ่งของที่ถูกต้องมาเปลี่ยนมอบให้หรือต่อว่า นายธนา แต่ นายพิชิฏ กลับทำตามคำร้องขอของนายธนา โทรศัพท์มากล่าวขอโทษกับ ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมทั้งสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว พฤติการณ์ของนายพิชิฏ ชัดแจ้งว่า มีส่วนร่วมถือเป็นตัวการร่วม ส่วน น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แม้เป็นเสมียนทนายความ แต่ก็ร่วมรู้ในเหตุการณ์ โดยเป็นผู้เรียก ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้ไปพบกับ นายธนา พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่า น.ส.ศุภศรี มีส่วนร่วมรู้เห็นกับนายธนา และแบ่งหน้าที่กันทำจึงฟังได้ว่า ทั้ง นายพิชิต และ น.ส.ศุภศรี เป็นตัวการร่วมกับนายธนา

คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่าทั้งสามกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เห็นว่าการนำถุงกระดาษใส่เงิน 2 ล้านบาท ให้ ม.ล.ฐิติพงศ์ ถือว่าเป็นเหตุจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ กระทำการอันมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่อาจเชื่อมโยงเป็นประโยชน์ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม ซึ่งกระทำการร่วมกันจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ ม.31 (1), 33 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา ม.83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายละเมิดขึ้นที่ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามประกอบอาชีพทนายความ และที่ปรึกษากฎหมายย่อมตระหนักดีกว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรม และจะส่งผลกระทบกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการ จึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน ส่วนความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ม.144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงานนั้น ให้ นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหาคดีนี้ไปดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น