“นพดล” เผยสอบพยาน 80 ปาก ไม่มีใครยันมีการจ่ายเงิน บอกเพียงเล่าปากต่อปาก อนุ ก.ตร.ชี้พยานหลักฐานทั้งหมดชัดเจนเพียงพอที่จะลงความเห็นได้ แต่ปัดตอบมีซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ ระบุพบข้อมูลแต่งตั้งปี 49 มีการอนุมัติยกเว้นคุณสมบัติตามอำนาจ ผบ.ตร.มากถึง 2,912 ตน. นครบาลมากสุด 347 ตน. ย้ำการโยกย้ายเกิดบ่อยทำง่าย ทำให้ตำรวจรู้สึกไม่มีความมั่นคง จึงวิ่งเข้าหาผู้บังคับบัญชา แย้มต้องมีเสนอความผิดเพิ่ม “พัชรวาท” ให้ “สุเทพ” ดู
คลิกที่จอภาพเพื่อรับชม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์
วันนี้ (4 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.เหมราช ธารีไทย คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร) ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ก.ตร.ชุดพิเศษตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายตำแหน่ง แทนนายสมศักดิ์ บุญทอง เพื่อประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งเป็นวันที่สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยวันนี้ได้เรียก พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร.ซึ่งเป็นผู้จัดทำบัญชีการแต่งตั้ง, พล.ต.ต.ชนาภัทร เชยสมบัติ ผบก.กพ.เข้าชี้แจงเป็นครั้งที่ 2 และ พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง จเรตำรวจ (สบ 8) ให้ปากคำให้ฐานะอดีต ผบช.ภ.6 เข้าชี้แจงข้อมูล ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.วีระยศ ชื่นกลิ่นธูปศิริ รอง ผกก.ป.สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้นำหลักฐานเกี่ยวกับการรับจ่ายเงินในสมุดบัญชีธนาคาร หรือสเตทเมนต์ ที่อ้างว่าเป็นบัญชีของพลเมืองดีคนหนึ่งที่ให้มาเป็นหลักฐานว่ามีการโอนเงินเพื่อซื้อขายตำแหน่งมอบให้คณะอนุ ก.ตร. โดยการประชุมใช้เวลาประมาณ 3 ชม.
พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ โฆษกคณะอนุ ก.ตร.เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การสรุปผลตรวจสอบข้อเท็จจริงได้มีการลงความเห็นเมื่อวันพุธ 2 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยสรุปข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำนายตำรวจผู้ใหญ่หลายท่าน ทั้ง ผบ.ตร. ผช.ผบ.โดยตรง ผู้บัญชาการเกือบทุกกองบัญชาการ พยานที่เกี่ยวข้องที่ถูกกล่าวอ้างไว้ และพยานที่ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมไว้ รวมทั้งสิ้น 80 ปาก ซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าพยานหลักฐานทั้งหมดมีความชัดเจนเพียงพอ ที่จะลงความเห็นได้ ส่วนวันนี้มีการสอบปากคำเพิ่มเติมอีก 3 ปาก รวมทั้ง พ.ต.ท.วีระยศ นำข้อมูลมาให้อีกส่วนหนึ่ง อาจจะต้องรอความเห็นจากนายสมศักดิ์ ในฐานะประธานอนุฯ ก.ตร.อีกครั้ง ในวันจันทร์ที่ 7 ก.ย. นี้ เวลา 10.30 น. เพื่อพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลที่ได้วันนี้จะทำให้การลงความเห็นในวันพุธที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า โดยพื้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีอะไรที่น่าสนใจมากขึ้น คิดว่าเป็นประโยชน์เพิ่มเติมในการพิจารณา เมื่อถามอีกว่าเป็นข้อมูลจากสเตทเม้นท์หรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสเตทเมนต์ที่ พ.ต.ท.วีระยศ กล่าวอ้างนั้นสัมพันธ์กับผู้ใด จะสามารถมีการนำเงินไปมอบให้กับผู้ใดเพื่อจัดสรรตำแหน่งให้ใครนั้น ตรงนี้อาจให้คณะกรรมการชุดอื่นตรวจสอบต่อไป เนื่องจากคณะกรรมการชุดนี้ทำงานมาเยอะแล้ว ตรวจสอบพยานไปแล้ว 80 ปาก ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น ซึ่งก็ยืนยันว่าคณะอนุฯ ชุดนี้เป็นคณะกรรมการที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้น
เมื่อถามว่า สรุปว่ามีการซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวต่อว่า ยังไม่พูดตอนนี้ แต่ขณะนี้เราได้พบข้อเท็จจริงในการแต่งตั้งครั้งที่แล้วที่ไม่เป็นไปตามกฎ ก.ตร.ต้องมีเสนอขออนุมัติยกเว้น เนื่องจาก กฎ ก.ตร.ปี 2549 ได้มอบอำนาจให้ ผบ.ตร.ก็เลยใช้อำนาจตรงนั้นอนุมัติยกเว้นไปถึง 2,912 ตำแหน่ง ซึ่งอยู่ในทุกกองบัญชาการ โดย บช.น.เยอะที่สุดจำนวน 347 ตำแหน่ง ตามด้วย บช.ภ.1 จำนวน 325 ตำแหน่ง ซึ่งมากมายมหาศาลจริงๆ ทำไมต้องยกเว้นกันมากมายขนาดนั้น
“ตำรวจนั้นมีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรม ดูแลทุกข์สุขประชาชน ก่อนที่จะทำได้นั้นต้องมีความชำนาญ นอกจากมีความชำนาญแล้วต้องรู้พื้นที่ รู้ว่าใครเป็นคนดีไม่ดี ลูกน้องคนไหนทำงานได้ ไม่ได้ ต้องได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคลในพื้นที่จึงจะสามารถทำงานได้ นี่คือหลักที่ ก.ตร.ระลึกไว้ และต้องระลึกถึงกฎ ก.ตร.ปี 49 ไว้ว่า ตำรวจในพื้นที่ต้องอยู่ครบ 2 ปีก่อนที่จะพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย ถ้าหากจะปรับเปลี่ยนโยกย้ายในระดับเดียวกัน ต้องทำให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ทางราชการเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้ทำงาน รู้จักพื้นที่ เว้นแต่ตำรวจท่านนั้นได้กระทำความผิด หากอยู่ในพื้นที่ต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายจึงจะย้ายได้ แต่ผู้มีอำนาจได้ใช้ข้ออ้างที่บอกว่า เพื่อประโยชน์ทางราชการในการโยกย้ายทั้ง 2,912 คน จึงเป็นที่ไปที่มาว่า ตำรวจรู้สึกไม่มีความมั่นคง เมื่อมีการโยกย้ายจึงวิ่งเข้าหาผู้บังคับบัญชา แทนที่จะวิ่งเข้าหาประชาชน” พล.ต.อ.นพดลกล่าว
พล.ต.อ.นพดล กล่าวต่อไปว่า อย่างสถานีตำรวจก็ไม่เท่ากัน มีทั้งเกรดเอ บี ซี อย่างเอ ก็มีความสะดวกสบาย การที่ถูกย้ายจากพื้นที่ก็ทำให้ครอบครัวลำบากเพราะบางคนต้องดูแลครอบครัว ภรรยา หากย้ายเขาไปก็ไม่มีอันทำงาน ก็ต้องมาดูแลครอบครัวอีก ก็เลยไปวิ่งหาผู้บังคับบัญชา หรือ คนอื่น ก็เหมือนกับหลักฐาน ที่ พ.ต.ท.วีระยศ นั้น อ้างว่า มีการวิ่งไปหาบุคคลที่รู้จักผู้บังคับบัญชา จึงเป็นที่ไปที่มาของปัญหาเรืองการซื้อขายตำแหน่ง
ต่อข้อถามว่า การโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในวาระประจำปีนั้น เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชา ส่วนการรายงานผลสรุปการซื้อขายตำแหน่งนั้น จะเสนอให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ส่วนจะดำเนินการอย่างไรก็นั้น ต้องดูอีกครั้งว่า ผู้ดำเนินการจะเป็นนายสุเทพ หรือนายกรัฐมนตรี เมื่อถามว่า ทางอนุฯ ก.ตร. มีการเสนอความเห็นเสนอนายสุเทพหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ เมื่อถามย้ำว่า จะเสนอความผิดเพิ่มเติมกับ พล.ต.อ.พัชรวาท หรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า เราต้องมี ซึ่งที่จริงสื่อก็รู้ เพราะมันเป็นระเบียบอยู่แล้ว ตนไม่อยากจะพูดเพราะอาจเป็นการล่วงเกินอำนาจของนายสุเทพได้ และเป็นความลับของคณะอนุฯ พูดออกไปนั้นไม่เหมาะสม เมื่อถามย้ำว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ตนเชื่อว่าสื่อมวลชนสรุปได้ แต่ต้องการจะให้ตนพูดนั้นไม่เหมาะสม จะก้าวล่วงคณะอนุฯ ก.ตร. ถ้าอยากรู้ไห้ไปถามประธาน ก.ตร.เอง เมื่อถามว่านอกจาก ผบ.ตร.แล้วมีบุคคลอื่นลงนามด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ไม่สามารถบอกได้ แต่ก็เป็นตำรวจระดับสูง แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่า คนที่ร่วมลงนามจะได้รับโทษ เมื่อถามว่า ได้สอบถามถึงเหตุผลว่า ทำไมโยกย้ายตำรวจถึง 2,912 ตำแหน่ง พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า เราได้ถามเหตุผลเหมือนกัน แต่ไม่ขอบอกในตอนนี้
เมื่อถามย้ำว่า มีการซื้อขายตำแหน่งจริงหรือไม่ พล.ต.อ.นพดลกล่าวว่า จำนวน 80 กว่าปากที่สอบนั้นไม่มีใครยืนยันว่า มีการจ่ายเงิน เพื่อได้ตำแหน่ง มีแต่บอกว่า เล่ากันปากต่อปากเท่านั้น ความมุ่งหวังของคณะอนุฯ นี้จะนำไปสู่การวางกติกาการแก้ไข แต่งตั้งให้ตำรวจมีความมั่นคงในชีวิต และทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะสามารถเยียวยา ผู้ที่ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรมหรือไม่ การเยียวยาคงไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด แต่ได้บางส่วนอย่างคนที่มีความจำเป็นจริงๆ มีพ่อแม่ต้องดูแล เพราะเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เต่ไม่ใช่ว่าอนุฯ ชุดนี้จะไม่ทำอะไร แต่เราจะเสนอคณะ ก.ตร.ชุดใหญ่ พิจารณา ปรับปรุงการแบ่งเกรดโรงพัก โดยตำรวจที่ดำรงตำแหน่งต้องเริ่มจากโรงพักเกรดซีก่อน ค่อยไป บี และเอ ตามลำดับ รวมถึงเสนอ ก.ตร.ให้แก้ไขระเบียบ ก.ตร.ในเรื่องการโยกย้ายข้ามภาคต้องยากลำบากมากขึ้น หรือการยกเว้นคุณสมบัติต้องผ่าน ก.ตร.ก่อน
ด้าน พ.ต.ท.วีระยศ กล่าวว่า วันนี้ได้นำสเตทเม้นท์ จำนวน 2 แผ่น มามอบให้คณะอนุฯ ก.ตร. โดยได้จากพลเมืองคนหนึ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ในบัญชีมีการโอนเงิน ประมาณ 3.4 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกไปหลายครั้ง การสืบสวนทางลับพบว่า เงินที่ผู้วิ่งเต้นตำแหน่ง โอนเข้ามา ระดับรอง ผกก.ขึ้น ผกก.ใน บช.ภ.7 ซึ่งเป็นการจ่ายเงินให้ก่อนล่วงหน้า 70% หากได้ตำแหน่งจริงจะจ่ายให้อีก 30% ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ อนุฯ สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินจากธนาคารได้ โดยส่วนตัวรู้ว่าใครเป็นคนทำ มีคนเกี่ยวข้อง 3 คน มีผู้สั่งการ รับงาน โอนเงิน
คลิกที่จอภาพเพื่อรับชม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์
วันนี้ (4 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.เหมราช ธารีไทย คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร) ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ก.ตร.ชุดพิเศษตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายตำแหน่ง แทนนายสมศักดิ์ บุญทอง เพื่อประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งเป็นวันที่สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยวันนี้ได้เรียก พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร.ซึ่งเป็นผู้จัดทำบัญชีการแต่งตั้ง, พล.ต.ต.ชนาภัทร เชยสมบัติ ผบก.กพ.เข้าชี้แจงเป็นครั้งที่ 2 และ พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง จเรตำรวจ (สบ 8) ให้ปากคำให้ฐานะอดีต ผบช.ภ.6 เข้าชี้แจงข้อมูล ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.วีระยศ ชื่นกลิ่นธูปศิริ รอง ผกก.ป.สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้นำหลักฐานเกี่ยวกับการรับจ่ายเงินในสมุดบัญชีธนาคาร หรือสเตทเมนต์ ที่อ้างว่าเป็นบัญชีของพลเมืองดีคนหนึ่งที่ให้มาเป็นหลักฐานว่ามีการโอนเงินเพื่อซื้อขายตำแหน่งมอบให้คณะอนุ ก.ตร. โดยการประชุมใช้เวลาประมาณ 3 ชม.
พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ โฆษกคณะอนุ ก.ตร.เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การสรุปผลตรวจสอบข้อเท็จจริงได้มีการลงความเห็นเมื่อวันพุธ 2 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยสรุปข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำนายตำรวจผู้ใหญ่หลายท่าน ทั้ง ผบ.ตร. ผช.ผบ.โดยตรง ผู้บัญชาการเกือบทุกกองบัญชาการ พยานที่เกี่ยวข้องที่ถูกกล่าวอ้างไว้ และพยานที่ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมไว้ รวมทั้งสิ้น 80 ปาก ซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าพยานหลักฐานทั้งหมดมีความชัดเจนเพียงพอ ที่จะลงความเห็นได้ ส่วนวันนี้มีการสอบปากคำเพิ่มเติมอีก 3 ปาก รวมทั้ง พ.ต.ท.วีระยศ นำข้อมูลมาให้อีกส่วนหนึ่ง อาจจะต้องรอความเห็นจากนายสมศักดิ์ ในฐานะประธานอนุฯ ก.ตร.อีกครั้ง ในวันจันทร์ที่ 7 ก.ย. นี้ เวลา 10.30 น. เพื่อพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลที่ได้วันนี้จะทำให้การลงความเห็นในวันพุธที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า โดยพื้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีอะไรที่น่าสนใจมากขึ้น คิดว่าเป็นประโยชน์เพิ่มเติมในการพิจารณา เมื่อถามอีกว่าเป็นข้อมูลจากสเตทเม้นท์หรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสเตทเมนต์ที่ พ.ต.ท.วีระยศ กล่าวอ้างนั้นสัมพันธ์กับผู้ใด จะสามารถมีการนำเงินไปมอบให้กับผู้ใดเพื่อจัดสรรตำแหน่งให้ใครนั้น ตรงนี้อาจให้คณะกรรมการชุดอื่นตรวจสอบต่อไป เนื่องจากคณะกรรมการชุดนี้ทำงานมาเยอะแล้ว ตรวจสอบพยานไปแล้ว 80 ปาก ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น ซึ่งก็ยืนยันว่าคณะอนุฯ ชุดนี้เป็นคณะกรรมการที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้น
เมื่อถามว่า สรุปว่ามีการซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวต่อว่า ยังไม่พูดตอนนี้ แต่ขณะนี้เราได้พบข้อเท็จจริงในการแต่งตั้งครั้งที่แล้วที่ไม่เป็นไปตามกฎ ก.ตร.ต้องมีเสนอขออนุมัติยกเว้น เนื่องจาก กฎ ก.ตร.ปี 2549 ได้มอบอำนาจให้ ผบ.ตร.ก็เลยใช้อำนาจตรงนั้นอนุมัติยกเว้นไปถึง 2,912 ตำแหน่ง ซึ่งอยู่ในทุกกองบัญชาการ โดย บช.น.เยอะที่สุดจำนวน 347 ตำแหน่ง ตามด้วย บช.ภ.1 จำนวน 325 ตำแหน่ง ซึ่งมากมายมหาศาลจริงๆ ทำไมต้องยกเว้นกันมากมายขนาดนั้น
“ตำรวจนั้นมีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรม ดูแลทุกข์สุขประชาชน ก่อนที่จะทำได้นั้นต้องมีความชำนาญ นอกจากมีความชำนาญแล้วต้องรู้พื้นที่ รู้ว่าใครเป็นคนดีไม่ดี ลูกน้องคนไหนทำงานได้ ไม่ได้ ต้องได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคลในพื้นที่จึงจะสามารถทำงานได้ นี่คือหลักที่ ก.ตร.ระลึกไว้ และต้องระลึกถึงกฎ ก.ตร.ปี 49 ไว้ว่า ตำรวจในพื้นที่ต้องอยู่ครบ 2 ปีก่อนที่จะพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย ถ้าหากจะปรับเปลี่ยนโยกย้ายในระดับเดียวกัน ต้องทำให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ทางราชการเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้ทำงาน รู้จักพื้นที่ เว้นแต่ตำรวจท่านนั้นได้กระทำความผิด หากอยู่ในพื้นที่ต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายจึงจะย้ายได้ แต่ผู้มีอำนาจได้ใช้ข้ออ้างที่บอกว่า เพื่อประโยชน์ทางราชการในการโยกย้ายทั้ง 2,912 คน จึงเป็นที่ไปที่มาว่า ตำรวจรู้สึกไม่มีความมั่นคง เมื่อมีการโยกย้ายจึงวิ่งเข้าหาผู้บังคับบัญชา แทนที่จะวิ่งเข้าหาประชาชน” พล.ต.อ.นพดลกล่าว
พล.ต.อ.นพดล กล่าวต่อไปว่า อย่างสถานีตำรวจก็ไม่เท่ากัน มีทั้งเกรดเอ บี ซี อย่างเอ ก็มีความสะดวกสบาย การที่ถูกย้ายจากพื้นที่ก็ทำให้ครอบครัวลำบากเพราะบางคนต้องดูแลครอบครัว ภรรยา หากย้ายเขาไปก็ไม่มีอันทำงาน ก็ต้องมาดูแลครอบครัวอีก ก็เลยไปวิ่งหาผู้บังคับบัญชา หรือ คนอื่น ก็เหมือนกับหลักฐาน ที่ พ.ต.ท.วีระยศ นั้น อ้างว่า มีการวิ่งไปหาบุคคลที่รู้จักผู้บังคับบัญชา จึงเป็นที่ไปที่มาของปัญหาเรืองการซื้อขายตำแหน่ง
ต่อข้อถามว่า การโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในวาระประจำปีนั้น เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชา ส่วนการรายงานผลสรุปการซื้อขายตำแหน่งนั้น จะเสนอให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ส่วนจะดำเนินการอย่างไรก็นั้น ต้องดูอีกครั้งว่า ผู้ดำเนินการจะเป็นนายสุเทพ หรือนายกรัฐมนตรี เมื่อถามว่า ทางอนุฯ ก.ตร. มีการเสนอความเห็นเสนอนายสุเทพหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ เมื่อถามย้ำว่า จะเสนอความผิดเพิ่มเติมกับ พล.ต.อ.พัชรวาท หรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า เราต้องมี ซึ่งที่จริงสื่อก็รู้ เพราะมันเป็นระเบียบอยู่แล้ว ตนไม่อยากจะพูดเพราะอาจเป็นการล่วงเกินอำนาจของนายสุเทพได้ และเป็นความลับของคณะอนุฯ พูดออกไปนั้นไม่เหมาะสม เมื่อถามย้ำว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ตนเชื่อว่าสื่อมวลชนสรุปได้ แต่ต้องการจะให้ตนพูดนั้นไม่เหมาะสม จะก้าวล่วงคณะอนุฯ ก.ตร. ถ้าอยากรู้ไห้ไปถามประธาน ก.ตร.เอง เมื่อถามว่านอกจาก ผบ.ตร.แล้วมีบุคคลอื่นลงนามด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ไม่สามารถบอกได้ แต่ก็เป็นตำรวจระดับสูง แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่า คนที่ร่วมลงนามจะได้รับโทษ เมื่อถามว่า ได้สอบถามถึงเหตุผลว่า ทำไมโยกย้ายตำรวจถึง 2,912 ตำแหน่ง พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า เราได้ถามเหตุผลเหมือนกัน แต่ไม่ขอบอกในตอนนี้
เมื่อถามย้ำว่า มีการซื้อขายตำแหน่งจริงหรือไม่ พล.ต.อ.นพดลกล่าวว่า จำนวน 80 กว่าปากที่สอบนั้นไม่มีใครยืนยันว่า มีการจ่ายเงิน เพื่อได้ตำแหน่ง มีแต่บอกว่า เล่ากันปากต่อปากเท่านั้น ความมุ่งหวังของคณะอนุฯ นี้จะนำไปสู่การวางกติกาการแก้ไข แต่งตั้งให้ตำรวจมีความมั่นคงในชีวิต และทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะสามารถเยียวยา ผู้ที่ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรมหรือไม่ การเยียวยาคงไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด แต่ได้บางส่วนอย่างคนที่มีความจำเป็นจริงๆ มีพ่อแม่ต้องดูแล เพราะเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เต่ไม่ใช่ว่าอนุฯ ชุดนี้จะไม่ทำอะไร แต่เราจะเสนอคณะ ก.ตร.ชุดใหญ่ พิจารณา ปรับปรุงการแบ่งเกรดโรงพัก โดยตำรวจที่ดำรงตำแหน่งต้องเริ่มจากโรงพักเกรดซีก่อน ค่อยไป บี และเอ ตามลำดับ รวมถึงเสนอ ก.ตร.ให้แก้ไขระเบียบ ก.ตร.ในเรื่องการโยกย้ายข้ามภาคต้องยากลำบากมากขึ้น หรือการยกเว้นคุณสมบัติต้องผ่าน ก.ตร.ก่อน
ด้าน พ.ต.ท.วีระยศ กล่าวว่า วันนี้ได้นำสเตทเม้นท์ จำนวน 2 แผ่น มามอบให้คณะอนุฯ ก.ตร. โดยได้จากพลเมืองคนหนึ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ในบัญชีมีการโอนเงิน ประมาณ 3.4 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกไปหลายครั้ง การสืบสวนทางลับพบว่า เงินที่ผู้วิ่งเต้นตำแหน่ง โอนเข้ามา ระดับรอง ผกก.ขึ้น ผกก.ใน บช.ภ.7 ซึ่งเป็นการจ่ายเงินให้ก่อนล่วงหน้า 70% หากได้ตำแหน่งจริงจะจ่ายให้อีก 30% ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ อนุฯ สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินจากธนาคารได้ โดยส่วนตัวรู้ว่าใครเป็นคนทำ มีคนเกี่ยวข้อง 3 คน มีผู้สั่งการ รับงาน โอนเงิน