ศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษายกฟ้อง คดีน้องบีมพิการทางร่างกาย โรงพยาบาลปากพนังได้ช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างดีแล้ว ไม่ต้องจ่าย 12 ล้านตามที่เรียกร้อง ด้านแม่น้องบีมน้ำตานองหน้า ระบุเคารพคำตัดสินของศาล แต่รู้สึกผิดหวังและเสียใจ แต่จะเดินหน้ายื่นอุทธรณ์สู้ต่อไป
วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. นางอาภรณ์ จันทร์ศรี มารดาของเด็กหญิงดุจมณี แซ่เตีย หรือ น้องบีม อายุ 5 ขวบ บ้านเลขที่ 228/4 ถนนชายน้ำ ต.ปากพนัง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ได้เดินทางมายังศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อฟังคำพิพากษาที่นางอาภรณ์ จัทร์ศรี เป็นโจทย์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 12 ล้านบาท จากกระทรวงสาธารณสุข ต้นสังกัดของโรงพยาบาลปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช วินิจฉัยโรคผิดพลาดจนทำให้เด็กหญิงดุจมณีป่วยเป็นวัณโรคขึ้นสมอง จนกลายเป็นเด็กพิการตาบอด พูดไม่ได้ หูไม่ได้ยิน รวมทั้งไม่สามารถลุกเดินได้อย่างคนปกติ เหตุเกิดเมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคมปี 50
ภายหลังจากใช้เวลาพิจารณาคดีประมาณ 1 ชั่วโมง ศาลจังหวัดนนทบุรีได้พิจารณาให้ยกฟ้องคดีดังกล่าว โดยศาลพิเคราะห์ว่า โรงพยาบาลปากพนังได้ทำการช่วยเหลือรักษาโรคของผู้เสียหายคือเด็กหญิงดุจมณีอย่างดีแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบตามเรื่องที่นางจันทร์ศรีเป็นโจทย์ยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมาเป็นเงินจำนวน 12 ล้านบาท
นางอาภรณ์ มารดาน้องบีม กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า แม้จะเคารพในคำตัดสินของศาล แต่ก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจเป็นอย่างมากที่ศาลยกฟ้องในคดีนี้ เพราะหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล เนื่องจากก่อนหน้าที่จะตัดสินใจยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นต้นสังกัดของโรงพยาบาลปากพนัง ได้ยอมรับผิดว่าทางแพทย์โรงพยาบาลได้วินิจฉัยรักษาผิดพลาดจริง และพร้อมจะชดใช้ความเสียหายให้เป็นเงินจำนวน 5.3 หมื่นบาทในเบื้องต้น
“แต่เมื่อดิฉันทำเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปที่กระทรวงสาธารณสุข ทางสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ติดต่อมาให้ดิฉันยอมความ ไม่ให้ฟ้องร้องเพื่อเอาผิด เค้าบอกยินดีที่จะจ่ายเงินช่วยเหลือให้จำนวน 7 แสนบาท แต่ดิฉันไม่ยอมรับ เพราะเห็นว่าลูกสาวต้องพิการไปตลอดชีวิต พูดไม่ได้ มองไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน และลุกเดินหรือนั่งไม่ได้ ซึ่งเกิดมาจากการวินิจฉัยโรคผิดพลาดของหมอ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว ไม่เพียงพอที่จะดูแลรักษาลูกสาวดิฉันไปตลอดชีวิต รวมทั้งคดีดังกล่าวก็ใกล้วันที่ศาลนัดพิจารณาคดีแล้ว จึงตอบปฏิเสธไปเพื่อให้ศาลผู้พิจารณา” มารดาน้องบีม กล่าว
มารดาน้องบีมกล่าวต่อไปว่า ในวันนี้คดีที่ตนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ถูกศาลพิจารณาคดีให้ยกฟ้อง ทั้งที่ฝ่ายโรงพยาบาลเบิกความเท็จต่อศาล แต่ตนพูดความจริงทั้งหมด กลับไม่ได้รับความเมตตาจากศาล ซึ่งตนจะเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกสาวต่อไปในชั้นอุทธรณ์ แม้ว่าจะต้องเสียเวลาและกู้หนี้ยืมสินมาเป็นทุนเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลครั้งต่อไปก็ตาม
วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. นางอาภรณ์ จันทร์ศรี มารดาของเด็กหญิงดุจมณี แซ่เตีย หรือ น้องบีม อายุ 5 ขวบ บ้านเลขที่ 228/4 ถนนชายน้ำ ต.ปากพนัง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ได้เดินทางมายังศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อฟังคำพิพากษาที่นางอาภรณ์ จัทร์ศรี เป็นโจทย์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 12 ล้านบาท จากกระทรวงสาธารณสุข ต้นสังกัดของโรงพยาบาลปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช วินิจฉัยโรคผิดพลาดจนทำให้เด็กหญิงดุจมณีป่วยเป็นวัณโรคขึ้นสมอง จนกลายเป็นเด็กพิการตาบอด พูดไม่ได้ หูไม่ได้ยิน รวมทั้งไม่สามารถลุกเดินได้อย่างคนปกติ เหตุเกิดเมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคมปี 50
ภายหลังจากใช้เวลาพิจารณาคดีประมาณ 1 ชั่วโมง ศาลจังหวัดนนทบุรีได้พิจารณาให้ยกฟ้องคดีดังกล่าว โดยศาลพิเคราะห์ว่า โรงพยาบาลปากพนังได้ทำการช่วยเหลือรักษาโรคของผู้เสียหายคือเด็กหญิงดุจมณีอย่างดีแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบตามเรื่องที่นางจันทร์ศรีเป็นโจทย์ยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมาเป็นเงินจำนวน 12 ล้านบาท
นางอาภรณ์ มารดาน้องบีม กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า แม้จะเคารพในคำตัดสินของศาล แต่ก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจเป็นอย่างมากที่ศาลยกฟ้องในคดีนี้ เพราะหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล เนื่องจากก่อนหน้าที่จะตัดสินใจยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นต้นสังกัดของโรงพยาบาลปากพนัง ได้ยอมรับผิดว่าทางแพทย์โรงพยาบาลได้วินิจฉัยรักษาผิดพลาดจริง และพร้อมจะชดใช้ความเสียหายให้เป็นเงินจำนวน 5.3 หมื่นบาทในเบื้องต้น
“แต่เมื่อดิฉันทำเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปที่กระทรวงสาธารณสุข ทางสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ติดต่อมาให้ดิฉันยอมความ ไม่ให้ฟ้องร้องเพื่อเอาผิด เค้าบอกยินดีที่จะจ่ายเงินช่วยเหลือให้จำนวน 7 แสนบาท แต่ดิฉันไม่ยอมรับ เพราะเห็นว่าลูกสาวต้องพิการไปตลอดชีวิต พูดไม่ได้ มองไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน และลุกเดินหรือนั่งไม่ได้ ซึ่งเกิดมาจากการวินิจฉัยโรคผิดพลาดของหมอ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว ไม่เพียงพอที่จะดูแลรักษาลูกสาวดิฉันไปตลอดชีวิต รวมทั้งคดีดังกล่าวก็ใกล้วันที่ศาลนัดพิจารณาคดีแล้ว จึงตอบปฏิเสธไปเพื่อให้ศาลผู้พิจารณา” มารดาน้องบีม กล่าว
มารดาน้องบีมกล่าวต่อไปว่า ในวันนี้คดีที่ตนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ถูกศาลพิจารณาคดีให้ยกฟ้อง ทั้งที่ฝ่ายโรงพยาบาลเบิกความเท็จต่อศาล แต่ตนพูดความจริงทั้งหมด กลับไม่ได้รับความเมตตาจากศาล ซึ่งตนจะเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกสาวต่อไปในชั้นอุทธรณ์ แม้ว่าจะต้องเสียเวลาและกู้หนี้ยืมสินมาเป็นทุนเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลครั้งต่อไปก็ตาม