ดีเอสไอ ขุดข่าวหมายจับ นายอาบู อาลี ชาวอาหรับ มือปืนคดีฆ่านักการทูตชาวซาอุดีอาระเบีย เสียชีวิต เมื่อ 19 ปีที่แล้ว แจกสื่อ โดยไม่ระบุวันออกหมาย แต่เมื่อสอบถาม พบ “ทวี สอดส่อง” สั่งจัดแจกจ่าย ทั้งที่เสนอศาลเมื่อวันที่ 29 ก.ค.แต่ปิดเงียบ คดีมีพยานยันตัวผู้กระทำผิด คาดปมความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนส่งมือปืนตามสังหารที่เมืองไทย
วันนี้ (5 ส.ค.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า หลังจากดีเอสไอได้รับโอนสำนวนการสอบสวนคดีฆาตกรรม นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์ เลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย หลังเกิดเหตุมาตั้งแต่ปี 2533 มาสอบสวนเป็นคดีพิเศษตั้งแต่ปี 2547 โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีเอสไอ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ สืบสวนสอบสวนเรื่องนี้มาโดยตลอด ทั้งนี้ จากการสืบสวนสอบสวน ดีเอสไอได้พยานสำคัญจากต่างประเทศ พร้อมประจักษ์พยาน ยืนยันตัวบุคคลที่กระทำความผิดในคดีนี้ จึงได้ยื่นคำร้องขอออกหมายจับ และศาลอาญาได้อนุมัติให้ออกหมายจับ นายอาบู อาลี ชาวอาหรับ คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิง นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี
สำหรับคดีฆาตกรรม นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์ เลขานุการโท ของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2533 บริเวณด้านหน้าศรีวัฒนา อพาร์ตเม้นท์ เลขที่ 34/3 (บ้านสุทธิพงษ์) ตรงข้ามซอยเย็นอากาศ 2 ถนนเย็นอากาศ แขวงทุ่งมหาเฆม เขตสาธร กรุงเทพมหานคร พื้นที่ความรับผิดชอบของ สน.ทุ่งมหาเมฆ โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุดังกล่าวประมาณ 10 นาที ยังมีคนร้ายกลุ่มหนึ่งใช้อาวุธปืนยิง นายฟาฮัด เอแซด อัลบาฮลี เลขานุการโท และ นายอาหะหมัด เอ.อัลชาอีพ ผู้ช่วยเลขานุการ สถานทูตซาอุดีอาระเบีย เสียชีวิต โดยแนวทางการสืบสวน เชื่อว่า น่าจะเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกันที่ยิง นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์
ต่อมาในวันที่ 28 พ.ค.2547 คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ จากการสืบสวนของดีเอสไอที่ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ประจักษ์พยาน และพยานแวดล้อม รวมถึงสอบพยานผู้เชี่ยวชาญ ก่อนนำหลักฐานเสนอต่อศาลว่า นายอาบู อาลี เป็นคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้ ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งหมายจับผู้ต้องหาดังกล่าว ดีเอสไอจึงส่งสำนวนคดีดังกล่าวต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษเพื่อพิจารณาสั่งคดีต่อไป โดยก่อนหน้าที่จะโอนสำนวนการสอบสวนมาดีเอสไอ สำนวนดังกล่าวได้ถูกดำเนินการโดยกรมตำรวจ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในปัจจุบัน
ขณะนั้นมีการตั้งประเด็นการสอบสวนสาเหตุการฆาตกรรม นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์ และพวกอีก 2 คน เนื่องมาจาก 1.การขัดแย้งผลประโยชน์ในการส่งแรงงานไปทำงานยังประเทศซาอุดีอาระเบีย 2.เจ้าหน้าที่สถานทูตบางคนร่วมกับบุคคลภายนอก ส่งสินค้าผิดกฎหมาย เช่น กัญชาอัดแท่ง ไม้หอม และน้ำมันไปประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยใช้เอกสิทธิ์ทางการทูต 3.การขัดผลประโยชน์ของกลุ่มแก๊งพัทยา ที่มี นายมุนีย์ อาหะหมัด เป็นหัวหน้า
เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเด็นทั้งสามเรื่องที่กรมตำรวจตั้งเป็นประเด็นการสืบสวน นำไปสู่การจับกุมและดำเนินการคดีกับผู้ต้องหาบางราย ต่อมาพนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง ส่วนคดีความที่ส่งขึ้นพิจารณาในชั้นศาล ศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องทั้งหมด ส่วนการสืบสวนดีเอสไอในครั้งนี้ ได้ตั้งประเด็นแตกต่างไปจากกรมตำรวจ โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว เห็นว่า ประเด็นสาเหตุการฆาตกรรมน่าจะมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศซาอุดีอาระเบียกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยพบว่า ก่อนหน้าที่จะมีการฆาตกรรม เจ้าหน้าที่สถานทูต ประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้เคยมีหนังสือขอความร่วมมือมายังประเทศไทย ให้ช่วยดูแลเจ้าหน้าที่และประชาชนชาวซาอุดีอาระเบียในประเทศไทย เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย เช่นเดียวกับในประเทศอื่นๆ ซึ่งเกิดเหตุขึ้นมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับข่าวดังกล่าว เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ได้ระบุวันที่ ว่า เสนอศาลออกหมายจับวันใด และเมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของข่าว พบว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ได้สั่งให้ทีมประชาสัมพันธ์ ดำเนินการเขียนข่าว เพื่อส่งแจกจ่ายให้กับผู้สื่อข่าว และเมื่อสอบถามไปยัง พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ว่า ได้เสนอศาลอนุมัติหมายจับเมื่อใด พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ แจ้งว่า ได้ขอศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อถามว่า ทำไมจึงมาแจกสื่อในวันนี้ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ ไม่ตอบ และเมื่อถามถึงเลขหมายจับ ก็ได้รับคำตอบว่าให้ไปตรวจสอบเอง
นอกจากนั้น ข่าวดังกล่าวที่ถูกนำเสนอแจกสื่อในวันนี้ อาจจะเพื่อต้องการให้ทราบว่า ดีเอสไอ มีผลงานในการทำคดี เพื่อหวังกลบเกลื่อนข่าวการตรวจสอบรถยนต์ที่ใช้ในราชการของดีเอสไอ ที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.นำมาตรวจสอบเพื่อหาหลักฐาน เกี่ยวกับ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ผู้ต้องหาคดียิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สงสัยว่า อาจจะนำไปใช้
วันนี้ (5 ส.ค.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า หลังจากดีเอสไอได้รับโอนสำนวนการสอบสวนคดีฆาตกรรม นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์ เลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย หลังเกิดเหตุมาตั้งแต่ปี 2533 มาสอบสวนเป็นคดีพิเศษตั้งแต่ปี 2547 โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีเอสไอ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ สืบสวนสอบสวนเรื่องนี้มาโดยตลอด ทั้งนี้ จากการสืบสวนสอบสวน ดีเอสไอได้พยานสำคัญจากต่างประเทศ พร้อมประจักษ์พยาน ยืนยันตัวบุคคลที่กระทำความผิดในคดีนี้ จึงได้ยื่นคำร้องขอออกหมายจับ และศาลอาญาได้อนุมัติให้ออกหมายจับ นายอาบู อาลี ชาวอาหรับ คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิง นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี
สำหรับคดีฆาตกรรม นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์ เลขานุการโท ของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2533 บริเวณด้านหน้าศรีวัฒนา อพาร์ตเม้นท์ เลขที่ 34/3 (บ้านสุทธิพงษ์) ตรงข้ามซอยเย็นอากาศ 2 ถนนเย็นอากาศ แขวงทุ่งมหาเฆม เขตสาธร กรุงเทพมหานคร พื้นที่ความรับผิดชอบของ สน.ทุ่งมหาเมฆ โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุดังกล่าวประมาณ 10 นาที ยังมีคนร้ายกลุ่มหนึ่งใช้อาวุธปืนยิง นายฟาฮัด เอแซด อัลบาฮลี เลขานุการโท และ นายอาหะหมัด เอ.อัลชาอีพ ผู้ช่วยเลขานุการ สถานทูตซาอุดีอาระเบีย เสียชีวิต โดยแนวทางการสืบสวน เชื่อว่า น่าจะเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกันที่ยิง นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์
ต่อมาในวันที่ 28 พ.ค.2547 คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ จากการสืบสวนของดีเอสไอที่ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ประจักษ์พยาน และพยานแวดล้อม รวมถึงสอบพยานผู้เชี่ยวชาญ ก่อนนำหลักฐานเสนอต่อศาลว่า นายอาบู อาลี เป็นคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้ ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งหมายจับผู้ต้องหาดังกล่าว ดีเอสไอจึงส่งสำนวนคดีดังกล่าวต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษเพื่อพิจารณาสั่งคดีต่อไป โดยก่อนหน้าที่จะโอนสำนวนการสอบสวนมาดีเอสไอ สำนวนดังกล่าวได้ถูกดำเนินการโดยกรมตำรวจ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในปัจจุบัน
ขณะนั้นมีการตั้งประเด็นการสอบสวนสาเหตุการฆาตกรรม นายอัลลุเลาะห์ เอ อัล เบซารีห์ และพวกอีก 2 คน เนื่องมาจาก 1.การขัดแย้งผลประโยชน์ในการส่งแรงงานไปทำงานยังประเทศซาอุดีอาระเบีย 2.เจ้าหน้าที่สถานทูตบางคนร่วมกับบุคคลภายนอก ส่งสินค้าผิดกฎหมาย เช่น กัญชาอัดแท่ง ไม้หอม และน้ำมันไปประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยใช้เอกสิทธิ์ทางการทูต 3.การขัดผลประโยชน์ของกลุ่มแก๊งพัทยา ที่มี นายมุนีย์ อาหะหมัด เป็นหัวหน้า
เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเด็นทั้งสามเรื่องที่กรมตำรวจตั้งเป็นประเด็นการสืบสวน นำไปสู่การจับกุมและดำเนินการคดีกับผู้ต้องหาบางราย ต่อมาพนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง ส่วนคดีความที่ส่งขึ้นพิจารณาในชั้นศาล ศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องทั้งหมด ส่วนการสืบสวนดีเอสไอในครั้งนี้ ได้ตั้งประเด็นแตกต่างไปจากกรมตำรวจ โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว เห็นว่า ประเด็นสาเหตุการฆาตกรรมน่าจะมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศซาอุดีอาระเบียกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยพบว่า ก่อนหน้าที่จะมีการฆาตกรรม เจ้าหน้าที่สถานทูต ประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้เคยมีหนังสือขอความร่วมมือมายังประเทศไทย ให้ช่วยดูแลเจ้าหน้าที่และประชาชนชาวซาอุดีอาระเบียในประเทศไทย เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย เช่นเดียวกับในประเทศอื่นๆ ซึ่งเกิดเหตุขึ้นมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับข่าวดังกล่าว เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ได้ระบุวันที่ ว่า เสนอศาลออกหมายจับวันใด และเมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของข่าว พบว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ได้สั่งให้ทีมประชาสัมพันธ์ ดำเนินการเขียนข่าว เพื่อส่งแจกจ่ายให้กับผู้สื่อข่าว และเมื่อสอบถามไปยัง พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ว่า ได้เสนอศาลอนุมัติหมายจับเมื่อใด พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ แจ้งว่า ได้ขอศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อถามว่า ทำไมจึงมาแจกสื่อในวันนี้ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ ไม่ตอบ และเมื่อถามถึงเลขหมายจับ ก็ได้รับคำตอบว่าให้ไปตรวจสอบเอง
นอกจากนั้น ข่าวดังกล่าวที่ถูกนำเสนอแจกสื่อในวันนี้ อาจจะเพื่อต้องการให้ทราบว่า ดีเอสไอ มีผลงานในการทำคดี เพื่อหวังกลบเกลื่อนข่าวการตรวจสอบรถยนต์ที่ใช้ในราชการของดีเอสไอ ที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.นำมาตรวจสอบเพื่อหาหลักฐาน เกี่ยวกับ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ผู้ต้องหาคดียิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สงสัยว่า อาจจะนำไปใช้
