หมายจับ 2 ผู้ต้องหา ในคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ เป็นหมายจับของศาลอาญา เลขที่ 2039/2552 ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 ผู้ต้องหา คือ จ.ส.อ.ปัญญา หรือ ห่อ ศรีเหรา อยู่บ้านเลขที่ 255/70 ม.1 ต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี และหมายจับเลขที่ 2040/2552 ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 ผู้ต้องหาคือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือ นายอรรถพล ปาทาน อยู่บ้านเลขที่ 59/479 ม.6 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จัดว่าเป็น"คนมีสี" จ.ส.อ.ปัญญา อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพบก ส.ต.ท.วรวุฒิ ผู้ภายใต้การบังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างโยนเผือกร้อนกันไปมาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสได ด้วย ส.ต.ท.วรวุฒิ ถูกระบุว่า ไปช่วยราชการดีเอสไอ
จากวันที่ 13 ก.ค. อันเป็นวันออกหมายจับจวบจนปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 2 สัปดาห์แล้ว ที่ยังไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาของ"จ่าห่อ" กับ "หมู่วุฒิ" ทั้งยังไม่มีใครทราบว่า ชะตาชีวิตของทั้ง 2 คน เป็นตายร้ายดีประการใด
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนเต็ม ที่พนักงานสืบสวนสอบสวน ภายใต้การกำกับดูแลของพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. เข้ามาคลี่คลายคดี ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนกระทั่งมีการเสนอขอออกหมายจับไปยังศาลเพื่ออนุมัติ ด้วย 5 ข้อหาฉกรรจ์ คือ ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด ซึ่งทางราชการไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย, พาอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเปิดเผยและไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแห่งพฤติการณ์, ยิงปืนโดยใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมืองหรือที่ชุมนุมชน, และสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปกระทำการเป็นซ่องโจรเพื่อกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต!
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน "หมายจับ" นั้น ถูกออกโดยตำรวจ ครั้นมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผู้อนุมัติหมายจับได้ จะต้องเป็น"ศาล" อันเป็นสถาบันแห่งความยุติธรรมชั้นสูงสุดเท่านั้น เพื่อป้องกันข้อครหาว่า ตำรวจกลั่นแกล้ง ดังนั้น การที่ตำรวจจะไปขอศาลเพื่ออนุมัติให้ออกหมายจับผู้ใดผู้หนึ่งนั้น จะต้องนำพยานหลักฐาน ที่เชื่อถือได้ว่า ผู้นั้นได้กระทำความผิดจริง อีกทั้งบางกรณี ศาลยังมีการไต่สวนพนักงานสอบสวน ที่เป็นผู้ไปขออนุมัติด้วย ก่อนจะมีการพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่ต่อไป
การอนุมัติหมายจับ จ.ส.อ.ปัญญา และส.ต.ท.วรวุฒิ 2 ผู้ต้องหาในคดีนี้ก็เช่นกัน พนักงานสอบสวน จะต้องมีพยานหลักฐานที่สามารถทำให้ศาลเชื่อได้ว่า เป็นผู้กระทำความผิดจริง ทั้งยังเป็นคดีใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ดังนั้น หากพยานหลักฐานไม่แน่ชัด ศาลคงไม่อนุมัติหมายจับมาเด็ดขาด!
เมื่อมีการออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบังเอิญว่า 2 ผู้ต้องหา เป็นคนมีสี เป็นคนมีสังกัด ดังนั้น ต้นสังกัด คือทั้งกองทัพบก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือทั้งดีเอสไอ จะต้องช่วยกันติดตามนำตัวผู้ต้องหาไปส่งมอบให้พนักงานสอบสวน แต่เท่าที่ผ่านมา ทั้ง 2-3 หน่วยงาน มิได้กระตือรือร้นขวนขวาย หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแค่ลมปาก ลมๆแล้งๆ ที่ออกมาจากตัวผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเท่านั้นว่า "ยินดีให้ความร่วมมือ" แต่ในทางกลับกัน การยินดีให้ความร่วมมือดังกล่าว เสมือนหนึ่งเป็นการโยน"เผือกร้อน" ไปให้ไกลตัวเสียมากกว่า
ครั้งหนึ่ง ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน มีผู้ถาม พล.ต.อ.ธานี ว่าทางกองทัพจะมีการส่งตัว จ.ส.อ.ปัญญา มาให้ตำรวจหรือไม่ พล.ต.อ.ธานี ตอบว่า อย่าว่าแต่กองทัพเลย ตำรวจเองก็ยังไม่ส่งตัวมาให้เลย คำตอบของ พล.ต.อ.ธานี หมายความว่าอย่างไร?
เวลาผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์เต็ม ยังไม่มีเบาะแส หรือการจับกุมตัว จ.ส.อ.ปัญญา และส.ต.ท.วรวุฒิ แต่กลับมีข่าวจากฝ่ายตรงข้ามออกมาโจมตีว่า หมายจับของคณะทำงานชุด พล.ต.อ.ธานี นั้น ไม่ชอบ! โดยใส่ไคร้ว่า มีการปั้นพยานเท็จ หลอกศาลให้ออกหมายจับ!
เมื่อมองเกียรติประวัติและเกียรติภูมิของ พล.ต.อ.ธานี ในอดีต จะเห็นได้ชัดจากความเป็น ตำรวจอาชีพ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตัวจริง จนได้รับฉายา"นายพลไม้บรรทัด" อีกทั้งเมื่อย้อนกลับไปมองบรรดา"บิ๊กตำรวจ"ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนจะต้องเกษียณอายุราชการนั้น มีนายตำรวจที่ว่าหน้าไหน ทุ่มเทให้กับการทำงานเหมือนอย่าง พล.ต.อ.ธานีไม่ มีแต่จะนั่งรอนอนรอนับแบงก์เล่น สะสมไว้เสวยสุขตอนปั้นปลายชีวิตกันเสียมากกว่า การใส่ไคร้ที่ระบุว่า มีการปั้นพยานเท็จไปหลอกศาล จึงไม่มีความจำเป็น ที่ พล.ต.อ.ธานี จะต้องเสี่ยงก้าวขาเข้าสู่ประตูคุก! ลบเกียรติประวัติและเกียรติภูมิของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาตลอดทั้งชีวิต
พล.ต.อ.ธานี ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า "หากหลักฐานไม่ชัด ศาลคงไม่ออกหมายจับให้ ทั้งพนักงานสอบสวนก็ไปรอศาลพิจารณาหมายจับ 2 ผู้ต้องหารายนี้เป็นชั่วโมง"
จากนี้ไป จึงต้องเป็นหน้าที่ของกองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และดีเอสไอ ที่จะต้องช่วยกันนำตัว จ.ส.อ.ปัญญา กับ ส.ต.ท.วรวุฒิ มาส่งให้กับพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดี มิใช่ให้ชุดคลี่คลายคดีติดตามไล่ล่าผู้ต้องหากันเองแต่ฝ่ายเดียว โดยที่กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และดีเอสไอ คอยหรี่ตาเปิดช่องทางหลบหนีให้ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เกียรติภูมิ เกียรติศักดิ์ และเกียรติประวัติ ที่มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันมายาวนานของกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในอดีต จะมีประโยชน์อันใด เครื่องแบบที่แต่ง คงเป็นเพียงแค่เครื่องนุ่งห่ม กันมิให้อุจาดตาเท่านั้น!
ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จัดว่าเป็น"คนมีสี" จ.ส.อ.ปัญญา อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพบก ส.ต.ท.วรวุฒิ ผู้ภายใต้การบังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างโยนเผือกร้อนกันไปมาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสได ด้วย ส.ต.ท.วรวุฒิ ถูกระบุว่า ไปช่วยราชการดีเอสไอ
จากวันที่ 13 ก.ค. อันเป็นวันออกหมายจับจวบจนปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 2 สัปดาห์แล้ว ที่ยังไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาของ"จ่าห่อ" กับ "หมู่วุฒิ" ทั้งยังไม่มีใครทราบว่า ชะตาชีวิตของทั้ง 2 คน เป็นตายร้ายดีประการใด
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนเต็ม ที่พนักงานสืบสวนสอบสวน ภายใต้การกำกับดูแลของพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. เข้ามาคลี่คลายคดี ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนกระทั่งมีการเสนอขอออกหมายจับไปยังศาลเพื่ออนุมัติ ด้วย 5 ข้อหาฉกรรจ์ คือ ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด ซึ่งทางราชการไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย, พาอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเปิดเผยและไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแห่งพฤติการณ์, ยิงปืนโดยใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมืองหรือที่ชุมนุมชน, และสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปกระทำการเป็นซ่องโจรเพื่อกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต!
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน "หมายจับ" นั้น ถูกออกโดยตำรวจ ครั้นมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผู้อนุมัติหมายจับได้ จะต้องเป็น"ศาล" อันเป็นสถาบันแห่งความยุติธรรมชั้นสูงสุดเท่านั้น เพื่อป้องกันข้อครหาว่า ตำรวจกลั่นแกล้ง ดังนั้น การที่ตำรวจจะไปขอศาลเพื่ออนุมัติให้ออกหมายจับผู้ใดผู้หนึ่งนั้น จะต้องนำพยานหลักฐาน ที่เชื่อถือได้ว่า ผู้นั้นได้กระทำความผิดจริง อีกทั้งบางกรณี ศาลยังมีการไต่สวนพนักงานสอบสวน ที่เป็นผู้ไปขออนุมัติด้วย ก่อนจะมีการพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่ต่อไป
การอนุมัติหมายจับ จ.ส.อ.ปัญญา และส.ต.ท.วรวุฒิ 2 ผู้ต้องหาในคดีนี้ก็เช่นกัน พนักงานสอบสวน จะต้องมีพยานหลักฐานที่สามารถทำให้ศาลเชื่อได้ว่า เป็นผู้กระทำความผิดจริง ทั้งยังเป็นคดีใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ดังนั้น หากพยานหลักฐานไม่แน่ชัด ศาลคงไม่อนุมัติหมายจับมาเด็ดขาด!
เมื่อมีการออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบังเอิญว่า 2 ผู้ต้องหา เป็นคนมีสี เป็นคนมีสังกัด ดังนั้น ต้นสังกัด คือทั้งกองทัพบก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือทั้งดีเอสไอ จะต้องช่วยกันติดตามนำตัวผู้ต้องหาไปส่งมอบให้พนักงานสอบสวน แต่เท่าที่ผ่านมา ทั้ง 2-3 หน่วยงาน มิได้กระตือรือร้นขวนขวาย หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแค่ลมปาก ลมๆแล้งๆ ที่ออกมาจากตัวผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเท่านั้นว่า "ยินดีให้ความร่วมมือ" แต่ในทางกลับกัน การยินดีให้ความร่วมมือดังกล่าว เสมือนหนึ่งเป็นการโยน"เผือกร้อน" ไปให้ไกลตัวเสียมากกว่า
ครั้งหนึ่ง ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน มีผู้ถาม พล.ต.อ.ธานี ว่าทางกองทัพจะมีการส่งตัว จ.ส.อ.ปัญญา มาให้ตำรวจหรือไม่ พล.ต.อ.ธานี ตอบว่า อย่าว่าแต่กองทัพเลย ตำรวจเองก็ยังไม่ส่งตัวมาให้เลย คำตอบของ พล.ต.อ.ธานี หมายความว่าอย่างไร?
เวลาผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์เต็ม ยังไม่มีเบาะแส หรือการจับกุมตัว จ.ส.อ.ปัญญา และส.ต.ท.วรวุฒิ แต่กลับมีข่าวจากฝ่ายตรงข้ามออกมาโจมตีว่า หมายจับของคณะทำงานชุด พล.ต.อ.ธานี นั้น ไม่ชอบ! โดยใส่ไคร้ว่า มีการปั้นพยานเท็จ หลอกศาลให้ออกหมายจับ!
เมื่อมองเกียรติประวัติและเกียรติภูมิของ พล.ต.อ.ธานี ในอดีต จะเห็นได้ชัดจากความเป็น ตำรวจอาชีพ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตัวจริง จนได้รับฉายา"นายพลไม้บรรทัด" อีกทั้งเมื่อย้อนกลับไปมองบรรดา"บิ๊กตำรวจ"ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนจะต้องเกษียณอายุราชการนั้น มีนายตำรวจที่ว่าหน้าไหน ทุ่มเทให้กับการทำงานเหมือนอย่าง พล.ต.อ.ธานีไม่ มีแต่จะนั่งรอนอนรอนับแบงก์เล่น สะสมไว้เสวยสุขตอนปั้นปลายชีวิตกันเสียมากกว่า การใส่ไคร้ที่ระบุว่า มีการปั้นพยานเท็จไปหลอกศาล จึงไม่มีความจำเป็น ที่ พล.ต.อ.ธานี จะต้องเสี่ยงก้าวขาเข้าสู่ประตูคุก! ลบเกียรติประวัติและเกียรติภูมิของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาตลอดทั้งชีวิต
พล.ต.อ.ธานี ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า "หากหลักฐานไม่ชัด ศาลคงไม่ออกหมายจับให้ ทั้งพนักงานสอบสวนก็ไปรอศาลพิจารณาหมายจับ 2 ผู้ต้องหารายนี้เป็นชั่วโมง"
จากนี้ไป จึงต้องเป็นหน้าที่ของกองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และดีเอสไอ ที่จะต้องช่วยกันนำตัว จ.ส.อ.ปัญญา กับ ส.ต.ท.วรวุฒิ มาส่งให้กับพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดี มิใช่ให้ชุดคลี่คลายคดีติดตามไล่ล่าผู้ต้องหากันเองแต่ฝ่ายเดียว โดยที่กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และดีเอสไอ คอยหรี่ตาเปิดช่องทางหลบหนีให้ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เกียรติภูมิ เกียรติศักดิ์ และเกียรติประวัติ ที่มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันมายาวนานของกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในอดีต จะมีประโยชน์อันใด เครื่องแบบที่แต่ง คงเป็นเพียงแค่เครื่องนุ่งห่ม กันมิให้อุจาดตาเท่านั้น!