กฤษฎีกาตีความ “สีหนาท” พ้นโทษวินัย อิงผล พ.ร.บ.ล้างมลทิน

กฤษฎีกาตีความ “สีหนาท ประยูรรัตน์” รักษาการเลขาธิการ ปปง. พ้นโทษทางวินัยร้ายแรง ไม่ถูกให้ออกจากราชการ เป็นผลตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน

วันนี้ (24 ก.ค.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความกรณี พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าข่ายพ้นผิดทางวินัยร้ายแรงจาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 หรือไม่ว่า พ.ต.อ.สีหนาท ได้อุทธรณ์โดยอ้างถึง พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ว่าการกระทำผิดที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วินิจฉัยได้ถูกลบล้างด้วย พ.ร.บ.ล้างมลทินไปแล้ว ดังนั้น ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นประธานในการพิจารณาโทษทางวินัยจึงได้ส่งเรื่องไปยังกฤษฎีกา เพื่อขอให้ตีความในประเด็นดังกล่าว พร้อมกับส่งกรณีตัวอย่างที่มีการตีความแตกต่างกันไปให้กฤษฎีกาพิจารณาเปรียบเทียบกับกรณีของ พ.ต.อ.สีหนาท ถึง 3 ครั้ง ซึ่งได้รับหนังสือตอบกลับจากกฤษฎีกา ยืนยันว่ากรณีความผิดของ พ.ต.อ.สีหนาทได้พ้นตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินไปแล้ว แม้ข้อวินิจฉัยว่าผิดวินัยร้ายแรงยังเป็นความจริงที่คงอยู่ต่อไป แต่การดำเนินการลงโทษทางวินัย ไม่สามารถเดินหน้าได้ตามกฎหมายล้างมลทินที่คุ้มครองอยู่ จึงมีผลให้ พ.ต.อ.สีหนาทยังรับราชการได้อยู่

นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่า เมื่อกฤษฎีกายืนยันว่าความผิดของ พ.ต.อ.สีหนาท ได้พ้นไปตามกฎหมายล้างมลทินแล้ว กระทรวงยุติธรรม จึงไม่สามารถเดินหน้าลงโทษทางวินัยตามที่ ป.ป.ช.มีมติมาได้ และได้ส่งหนังสือถึง ป.ป.ช.ขอให้พิจารณาการตีความของกฤษฎีกา หาก ป.ป.ช.มีความเห็นเป็นอื่น และจะให้กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการอย่างไรตามกฎหมายก็ขอให้แจ้งกลับยังกระทรวงยุติธรรม เพื่อดำเนินการต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ซึ่งว่างเว้นมานาน นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เรื่องความผิดและการได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายล้างมลทิน เป็นคนละเรื่องกับตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ซึ่งตนจะต้องพิจารณาต่อไปว่า ใครเป็นผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งดังกล่าว การที่พ.ต.อ.สีหนาท ซึ่งรักษาการเลขาธิการ ปปง.อยู่จะได้เป็นเลขาธิการหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับการโทษทางวินัยก่อนหน้านี้

สำหรับกรณีของ พ.ต.อ.สีหนาท ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.มีมติว่า พ.ต.อ.สีหนาท ขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศและติดตามประเมินผล ได้ดำเนินการผิดวินัยร้ายแรง ด้วยการเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคลและนิติบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อสารมวลชน และตรวจสอบการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของบุคคลที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับนิติบุคคลเหล่านี้ ทั้งที่ปราศจากข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุอันสมควรในการตรวจสอบ และส่งเรื่องให้กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการพิจารณาโทษทางวินัยตามที่ ป.ป.ช.ได้ตัดสินชี้ขาด