หลังจากได้นำเสนอเส้นทางทีมล่าสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” โดยมี พ.อ.(ส) อดีตทหารสังกัดกองพันจู่โจม คือบุคคลที่เป็นกุญแจดอกสำคัญนำไปสู่การไขปริศนาสาวถึง “ตอ” (พล.ท.-พล.อ.) ผู้บงการใหญ่!
โดยที่ พ.อ.(ส) ทหารนายนี้ ประวัติเขาคือเตรียมทหารรุ่นที่ 21 อดีตเคยเป็นนายทหารรับใช้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ., อดีต รมว.กลาโหม (ยุคนายกฯ ทักษิณ) บุคคลผู้เป็นเจ้าของโรงงานไม้กฤษณา เลขที่ 2/1 หมู่ 10 บ้านนาแกลง ต.ประณีต อ.เขาสมิง จ.ตราด ที่ชุดสืบสวนสอบสวนของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เข้าตรวจค้นเพื่อล่าตัว จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา 1 ในมือปืนที่ถูกออกหมายจับ
พ.อ.(ส)นายนี้ เพื่อนร่วมรุ่นต่างเรียกขานเขากันว่า “บิ๊กสุ” เป็นนายทหารร่างกำยำ สูงโปร่ง จัดว่าสมาร์ทพอสมควร ว่ากันว่า ก่อนเกิดเหตุยิงนายสนธินั้น “บิ๊กสุ” ผู้นี้โทรศัพท์ไปขอยืมรถเพื่อนฝูงมาใช้งานหลายคัน แต่สุดท้ายไปตกที่รถโตโยต้า วีโก้ สีเปลือกมังคุด ทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ของ น.ส.รัศมี เมฆชัย รถที่ตำรวจยึดมาตรวจสอบได้เป็นคันแรก
สำหรับตัว พ.อ.(ส)มีหลักฐานการใช้โทรศัพท์มือถือของเขา พบว่าเชื่อมโยงเกี่ยวข้องบุคคลและสถานที่(ก่อน-หลังยิงนายสนธิ) โดยที่ พ.อ.(ส) ใช้ให้ ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติ สังกัด บช.ปส.ช่วยราชการดีเอสไอ (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) เป็นคนไปซื้อโทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง เพื่อนำมาใช้ในงานนี้ เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายของทีม ซึ่งตำรวจสอบสวนพบว่า เบอร์โทร.หลักที่มีการโทร.เข้า-โทร.ออกกับทีมฆ่า ล้วนมาจากเบอร์ของ พ.อ.(ส) ทั้งสิ้น
จากความเชื่อมโยงเรื่องการใช้โทรศัพท์บัญชาการฆ่านายสนธิครั้งนี้ ถือว่าไม่ธรรมดา เมื่อพบว่า ภายหลังจากการลอบสังหารนายสนธิล้มเหลว พ.อ.(ส) ได้โทรศัพท์รายงานผลต่อ “บิ๊กสีเขียว” ผู้มีอำนาจระดับสูงในรัฐบาลชุดนี้ จากนั้นได้โทร.ติดต่อนายตำรวจระดับสูง พ.ต.อ.(ท)ซึ่งเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่นที่ 21 ด้วยกัน และมีความสัมพันธ์อันดีกับน้องสาวคนหนึ่งของผู้นำกลุ่มอำนาจเก่า รวมทั้งโทร.ทางไกลไปดูไบ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแหล่งกบดานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวนหลายครั้ง
หันกลับไปดูเพื่อนร่วมรุ่นต่างเหล่าที่เลือกเดินเส้นทางสายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ทว่า เมื่อเติบโตอยู่ในองค์กรตำรวจ ที่เชื่อกันว่า มีความกดดันอย่างหนักหน่วงในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น จึงได้ผันตัวเอง ออกไปสู่หน่วยงานอื่น กับตำแหน่งหน้าที่และเงินเดือนที่สูงกว่าถึง 2 เท่าตัว โดย พ.ต.อ.(ท.) นั้น ถือว่าเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรใหม่ต่อสังคม ซึ่ง พ.ต.อ.(ท.) ผู้นี้ มีประวัติ ผลงาน ในด้านการสืบสวนที่จัดอยู่ในระดับชั้นครู มีความชำนาญในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สลับซับซ้อนมาใช้ในงานสืบสวน
เพื่อนรัก เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนที่หันหลังให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปเอาดียังหน่วยอื่นเช่นเดียวกับพ.ต.อ.(ท) ก็คือ พ.ต.อ.(ด) โดยบุคคลผู้นี้มีความชำนาญในการใช้เครื่องมือพิเศษต่างๆ เพื่อให้เจาะลึกถึงข้อมูลของแก๊งอาชญากรรม โดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติ ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีลอบสังหารนายสนธิจะถูกดึงมาช่วยราชการที่ดีเอสไอ ในฐานะผู้ชำนาญการด้านการดักฟังโทรศัพท์ และระบบกล้องวงจรปิด!
ทั้งนี้ แม้ พ.ต.อ.(ท) และพ.ต.อ.(ด) จะไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.21 ของ พ.อ.(ส) แต่เมื่อนับรุ่นนักเรียนเตรียมทหารกับรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งตรงกับ นรต.37 จึงจัดว่าทั้งหมดเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน ที่เรียกขานกันว่า “21-37”
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้ง พ.ต.อ.(ท) และพ.ต.อ.(ด.)นั้น แม้จะถูกจัดว่าทั้ง 2 คน มิใช่ “ขุนพล” เคียงกาย หรือ “แม่ทัพ” คู่บารมีกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ตาม แต่ทั้งคู่จัดว่าเป็น “ทหารเอก” ในยุคที่ทักษิณเรืองอำนาจเช่นเดียวกัน!
เมื่อดูสายสัมพันธ์ของทั้งหมด อาจวิเคราะห์ได้ว่า พ.อ.(ส) อาจจะบอกวัตถุประสงค์โดยตรงมายัง พ.ต.อ.ทั้งคู่ เพื่อให้หามือดีในการกำหนดแผน โดยเฉพาะเรื่องการดักฟังโทรศัพท์ เพื่อให้รู้การเคลื่อนไหวของ “เป้าหมาย” อย่างชัดเจน รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือ CCTV ให้มีอันเป็นไป ตามสถานที่ที่ได้ถูกกำหนดไว้ในแผน (สถานที่ใกล้เคียงกับที่นายสนธิถูกยิงจึงไม่มีภาพคนร้ายในกล้องวงจรปิดแม้แต่กล้องเดียว ด้วยทั้งหมดเสียกะทันหัน!) ดังนั้น “ส.ต.อ.วรวุฒิ” จึงถูกกำหนดให้เข้าร่วม “แผนล่าสังหาร” ในครั้งนี้
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ตท.21 กับ นรต.37 นั้นว่า ใครมีความสัมพันธ์พิเศษกับอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” บ้าง ส่วนนายทหาร และนายตำรวจชื่ออักษรย่อดังกล่าวเหล่านั้น จะเข้ามาเป็นตัวละคร ตัวสำคัญตัวหนึ่งของคดีนี้หรือไม่ หลักฐานยังไม่ยืนยัน และยังถือว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วน ตท.รุ่น 21 และ นรต.37 เกือบทั้งรุ่น ถือเป็นนายทหาร นายตำรวจที่ดี ที่ทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น ที่ต้องทำให้ทั้งรุ่นต้องแปดเปื้อน!
โดยที่ พ.อ.(ส) ทหารนายนี้ ประวัติเขาคือเตรียมทหารรุ่นที่ 21 อดีตเคยเป็นนายทหารรับใช้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ., อดีต รมว.กลาโหม (ยุคนายกฯ ทักษิณ) บุคคลผู้เป็นเจ้าของโรงงานไม้กฤษณา เลขที่ 2/1 หมู่ 10 บ้านนาแกลง ต.ประณีต อ.เขาสมิง จ.ตราด ที่ชุดสืบสวนสอบสวนของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เข้าตรวจค้นเพื่อล่าตัว จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา 1 ในมือปืนที่ถูกออกหมายจับ
พ.อ.(ส)นายนี้ เพื่อนร่วมรุ่นต่างเรียกขานเขากันว่า “บิ๊กสุ” เป็นนายทหารร่างกำยำ สูงโปร่ง จัดว่าสมาร์ทพอสมควร ว่ากันว่า ก่อนเกิดเหตุยิงนายสนธินั้น “บิ๊กสุ” ผู้นี้โทรศัพท์ไปขอยืมรถเพื่อนฝูงมาใช้งานหลายคัน แต่สุดท้ายไปตกที่รถโตโยต้า วีโก้ สีเปลือกมังคุด ทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ของ น.ส.รัศมี เมฆชัย รถที่ตำรวจยึดมาตรวจสอบได้เป็นคันแรก
สำหรับตัว พ.อ.(ส)มีหลักฐานการใช้โทรศัพท์มือถือของเขา พบว่าเชื่อมโยงเกี่ยวข้องบุคคลและสถานที่(ก่อน-หลังยิงนายสนธิ) โดยที่ พ.อ.(ส) ใช้ให้ ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติ สังกัด บช.ปส.ช่วยราชการดีเอสไอ (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) เป็นคนไปซื้อโทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง เพื่อนำมาใช้ในงานนี้ เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายของทีม ซึ่งตำรวจสอบสวนพบว่า เบอร์โทร.หลักที่มีการโทร.เข้า-โทร.ออกกับทีมฆ่า ล้วนมาจากเบอร์ของ พ.อ.(ส) ทั้งสิ้น
จากความเชื่อมโยงเรื่องการใช้โทรศัพท์บัญชาการฆ่านายสนธิครั้งนี้ ถือว่าไม่ธรรมดา เมื่อพบว่า ภายหลังจากการลอบสังหารนายสนธิล้มเหลว พ.อ.(ส) ได้โทรศัพท์รายงานผลต่อ “บิ๊กสีเขียว” ผู้มีอำนาจระดับสูงในรัฐบาลชุดนี้ จากนั้นได้โทร.ติดต่อนายตำรวจระดับสูง พ.ต.อ.(ท)ซึ่งเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่นที่ 21 ด้วยกัน และมีความสัมพันธ์อันดีกับน้องสาวคนหนึ่งของผู้นำกลุ่มอำนาจเก่า รวมทั้งโทร.ทางไกลไปดูไบ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแหล่งกบดานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวนหลายครั้ง
หันกลับไปดูเพื่อนร่วมรุ่นต่างเหล่าที่เลือกเดินเส้นทางสายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ทว่า เมื่อเติบโตอยู่ในองค์กรตำรวจ ที่เชื่อกันว่า มีความกดดันอย่างหนักหน่วงในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น จึงได้ผันตัวเอง ออกไปสู่หน่วยงานอื่น กับตำแหน่งหน้าที่และเงินเดือนที่สูงกว่าถึง 2 เท่าตัว โดย พ.ต.อ.(ท.) นั้น ถือว่าเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรใหม่ต่อสังคม ซึ่ง พ.ต.อ.(ท.) ผู้นี้ มีประวัติ ผลงาน ในด้านการสืบสวนที่จัดอยู่ในระดับชั้นครู มีความชำนาญในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สลับซับซ้อนมาใช้ในงานสืบสวน
เพื่อนรัก เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนที่หันหลังให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปเอาดียังหน่วยอื่นเช่นเดียวกับพ.ต.อ.(ท) ก็คือ พ.ต.อ.(ด) โดยบุคคลผู้นี้มีความชำนาญในการใช้เครื่องมือพิเศษต่างๆ เพื่อให้เจาะลึกถึงข้อมูลของแก๊งอาชญากรรม โดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติ ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีลอบสังหารนายสนธิจะถูกดึงมาช่วยราชการที่ดีเอสไอ ในฐานะผู้ชำนาญการด้านการดักฟังโทรศัพท์ และระบบกล้องวงจรปิด!
ทั้งนี้ แม้ พ.ต.อ.(ท) และพ.ต.อ.(ด) จะไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.21 ของ พ.อ.(ส) แต่เมื่อนับรุ่นนักเรียนเตรียมทหารกับรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งตรงกับ นรต.37 จึงจัดว่าทั้งหมดเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน ที่เรียกขานกันว่า “21-37”
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้ง พ.ต.อ.(ท) และพ.ต.อ.(ด.)นั้น แม้จะถูกจัดว่าทั้ง 2 คน มิใช่ “ขุนพล” เคียงกาย หรือ “แม่ทัพ” คู่บารมีกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ตาม แต่ทั้งคู่จัดว่าเป็น “ทหารเอก” ในยุคที่ทักษิณเรืองอำนาจเช่นเดียวกัน!
เมื่อดูสายสัมพันธ์ของทั้งหมด อาจวิเคราะห์ได้ว่า พ.อ.(ส) อาจจะบอกวัตถุประสงค์โดยตรงมายัง พ.ต.อ.ทั้งคู่ เพื่อให้หามือดีในการกำหนดแผน โดยเฉพาะเรื่องการดักฟังโทรศัพท์ เพื่อให้รู้การเคลื่อนไหวของ “เป้าหมาย” อย่างชัดเจน รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือ CCTV ให้มีอันเป็นไป ตามสถานที่ที่ได้ถูกกำหนดไว้ในแผน (สถานที่ใกล้เคียงกับที่นายสนธิถูกยิงจึงไม่มีภาพคนร้ายในกล้องวงจรปิดแม้แต่กล้องเดียว ด้วยทั้งหมดเสียกะทันหัน!) ดังนั้น “ส.ต.อ.วรวุฒิ” จึงถูกกำหนดให้เข้าร่วม “แผนล่าสังหาร” ในครั้งนี้
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ตท.21 กับ นรต.37 นั้นว่า ใครมีความสัมพันธ์พิเศษกับอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” บ้าง ส่วนนายทหาร และนายตำรวจชื่ออักษรย่อดังกล่าวเหล่านั้น จะเข้ามาเป็นตัวละคร ตัวสำคัญตัวหนึ่งของคดีนี้หรือไม่ หลักฐานยังไม่ยืนยัน และยังถือว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วน ตท.รุ่น 21 และ นรต.37 เกือบทั้งรุ่น ถือเป็นนายทหาร นายตำรวจที่ดี ที่ทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น ที่ต้องทำให้ทั้งรุ่นต้องแปดเปื้อน!