xs
xsm
sm
md
lg

“พิภพ” กระทุ้งต่อมความกล้า “มาร์ค” ล้างบาง ตร.ไม่เอาถ่าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พิภพ” กระทุ้งต่อมความกล้า “มาร์ค” ล้างบาง ตร.ไม่เอาถ่าน ระบุคดีลอบยิง “สนธิ” ต้องสาวให้ถึงตัวบงการ เพื่อกู้หน้าวงการสีกากีไทย ซัด “พัชรวาท” อย่ามัวหลบฉาก ให้ออกมาแสดงจุดยืน ด้าน “ยะใส” แนะนายกฯ ลงมาคุมเรื่องนี้ อย่าปล่อยให้อำนาจคนมีสีบีบจนมวยล้ม เหมือนคาร์บ๊อง ที่หายเข้ากลีบเมฆ



 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  

รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 22.00-23.30 น.วันศุกร์ที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ดำเนินรายการ โดยมีนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ร่วมพูดคุยถึงเรื่องบทบาทหน้าที่ของนายกฯที่ควรจะเป็นในคดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล

นายพิภพ กล่าวว่า คนที่ควรรับผิดชอบในความเสียหายจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ คือ ผู้บริหารสนามบิน เพราะเป็นคนสั่งปิด ซึ่งขณะนั้นในอาคารรองรับผู้โดยสารมีชาวไทยมุสลิมที่ต้องการไปแสวงบุญเตรียมขึ้นเครื่องแล้ว แต่ทางการท่าฯ สั่งไม่ให้เครื่องบินขึ้น ดังนั้น ทางพันธมิตรฯ จึงได้ประกาศผ่านเวทีไปยังการท่าฯ ว่า คนที่จะไปแสวงบุญให้เขาขึ้นเครื่องไป พร้อมให้การสนับสนุนเรื่องการเดินทางเต็มที่ โดยตรงนี้ผู้โดยสารทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร สำหรับอีกกรณี คือ พันธมิตรฯ ไม่ได้ปิดกั้นการขึ้นลงของเครื่องบิน มิหนำซ้ำ ยังได้เข้าไปช่วยดูแลแบ่งอาหารให้แก่ผู้ที่จะไปแสวงบุญด้วย ทั้งนี้ พวกเขาคงรับทราบถึงเจตนาของการชุมนุมของพันธมิตรฯ ซึ่งหลังจากนั้นพี่น้องมุสลิมหลายคนได้เขียนจดหมายขอบคุณ ทำให้เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า พันธมิตรฯ เป็นผู้ก่อการดี

นายพิภพ กล่าวถึงคดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า หากจะมีการทำคดีให้มีความโปร่งใส ต้องจับให้ถึงต้นตอ จะได้ทำให้ภาพลบที่ประชาชนไม่ไว้วางใจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และไม่ไว้วางใจรัฐบาลดีขึ้นบ้าง ซึ่งตรงนี้นับเป็นสัญญาณที่ดี เพราะนานาประเทศจะได้มีความเชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมของไทยเข้มแข็ง ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องผลักดันให้สำเร็จ เนื่องจากเป็นฝ่ายเคยลั่นวาจามาว่า จะใช้หลักกฎหมายและทำตามกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าจะเจอตอ ก็จะต้องผ่าตอนี้ไปให้ได้ ซึ่งถ้านายกฯ ทำตรงนี้ได้ จะเรียกความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตาของชาวโลกได้เพิ่มมากขึ้น

นายพิภพ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.รายงานความคืบหน้าคดียิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ผ่านทาง นายกฯ ทำให้หลายคนสงสัยว่าทำไมไม่รายงานต่อ ผบ.ตร.ซึ่งจุดตรงนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ต้องออกมาแสดงจุดยืน ไม่ใช่เงียบเฉย และคดีนี้ นายอภิสิทธิ์ ต้องตัดสินใจ เพราะเคยผิดพลาดมาแล้วหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุ จนมีผู้บาดเจ็บและล้มตาย ดังนั้น เมื่อมาเป็นนายกฯ ต้องสมควรสั่งข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับคดีทุกฝ่าย โดยอาจมีลงโทษด้วยการพักราชการหรือย้ายออกจากตำแหน่ง ป้องกันการขัดขวางการดำเนินคดี เพราะไม่มีที่ไหนที่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธกระทำการเกินกว่าเหตุจนทำให้ประชาชนตาย แต่ยังอยู่ในตำแหน่งได้ ถึงแม้ผลการสอบสวนจะยังไม่ถึงที่สุด ก็ควรสั่งพักราชการ

ด้าน นายสุริยะใส กล่าวเสริมในประเด็นเดียวกัน ว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่นายกฯ ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลตาม พ.ร.บ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติตามมาตรา 6 ดังนี้นายกฯต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อสอบข้อเท็จจริงตั้งแต่ระดับ ผบ.ตร.ไล่ลงไปถึงระดับล่าง แล้วเรียก พล.ต.อ.ธานี มาให้ข้อมูลว่าใครเป็นไส้ศึก

“ตนต้องขอชื่นชม พล.ต.อ.ธานี ที่กล้าพูด แต่ก็น่าเสียดายที่นายกฯ ไม่ให้การสนับสนุนเต็มที่ ในเมื่อมีเจ้าหน้าที่มีความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ หากนายอภิสิทธิ์ไม่ใช้โอกาสนี้ในการสร้างกระบวนการยุติธรรม เพื่อจะเป็นผู้นำคนรุ่นใหม่ ถือเป็นการใช้โอกาสทางการเมืองที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาตัว นายกฯ เองก็เคยเฉียดตายมาแล้ว เมื่อครั้งกลุ่มคนเสื้อแดงทุบรถที่กระทรวงกลาโหมและที่การประชุมที่พัทยา ถึงมันจะไม่มีอะไรเสียหายหรืออับอายไปมากกว่านี้ นายกฯ ก็ควรต้องทำความดี ทำความถูกต้องให้ปรากฏ” นายพิภพ กล่าว

นายพิภพ กล่าวต่ออีกว่า เป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจ ถ้าหากกฎหมายแก้แล้วทำให้กระวบการยุติธรรมดียิ่งขึ้น ก็สมควรทำ ไม่มีใครว่า แต่สิ่งที่ พันธมิตรฯ ตำหนิ คือ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แก้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ ต้องกล้าแทรกแซงเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น

นายสุริยะใส กล่าวเพิ่มเติมในประเด็นนี้ ว่า ระบบข้าราชการไทย ถูกทำให้เป็นเครื่องมือของระบอบการเมืองเก่ามาช้านาน ฉะนั้น การแทรกแซงในความหมายนี้ คือ การไปดึงสถาบันเหล่านั้นกลับมาให้เป็นของประชาชน นี่คือการแทรกแซงในทางความหมายที่ดีขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกวันนี้เป็นรัฐตำรวจ อุดมการณ์ยังยึดมั่นอยู่แต่ทักษิณ ดังนั้น นายกฯ ต้องทำให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกลับมาเป็นของส่วนกลางก่อน เนื่องจากหากปล่อยไว้เช่นนี้ ไม่เข้าแทรกแซง ปล่อยให้ระบอบเก่าครอบงำเจ้าหน้าที่อยู่ วันดีคืนดีอาจเห็นถอดเครื่องแบบไปใส่เสื้อแดงร่วมชุมนุมอีกก็ได้ ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการตบหน้านายกฯ โดยตรง

“นายกฯ ต้องสนใจเรื่องการดังฟังโทรศัพท์ ข่าวข้อมูลใดที่รั่วไหลนอกเหนือจากมีคนไปบอกหรือทรยศหักหลัง ก็มาจากทางการดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยแล้ว ถ้าประชาชนไม่สามารถประกันสิทธิเสรีภาพเรื่องการสื่อสารได้ ก็อย่างมาอ้างตัวว่าเป็นนักประชาธิปไตย” นายพิภพ กล่าว

นายพิภพ กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัว รักนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องส่วนตัวระหว่างกัน แต่เมื่อเป็นนายกฯ ต้องทำหน้าที่ จะมาบอกว่าไม่อยากแทรกแซงไม่ได้ เพราะเป็นหัวหน้าราชการต้องเข้าไปจัดการความถูกต้องของระบบทั้งหมด และนายกฯ เองเมื่อตอนเป็นฝ่ายค้านก็เคยบอกว่าระบบการเมืองมันล้มเหลว ดังนั้น เมื่อได้มาเป็นนายกฯ ต้องจัดการความล้มเหลว ที่เกิดจากความผิดพลาดของกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งพวกลิ้วล้ออดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ ตำรวจ และอัยการ ที่ยังมีบางส่วนรับใช้บุคคลดังกล่าวอยู่

“ในช่วงพักหลังๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งเน้นเรื่องความเป็นธรรม ดังนั้น นายกฯ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มาก เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ ไม่ใช่แทรกแซง ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชนไม่อยากเกลียดตำรวจ เพราะคนที่ใกล้ชิดกับประชาชนที่สุด คือตำรวจ เนื่องจากไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ต้องพึ่งตำรวจ แต่ประเด็น คือ ต้องทำให้ตำรวจเป็นของประชาชน และต้องทำให้ตำรวจอย่ามองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่จบจากสถาบันนักเรียนนายร้อยตำรวจเช่นกัน เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ตำรวจก็มีหน้าที่ดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม หากทำเช่นนั้นได้ประชาชนทุกคนก็พร้อมจะรักตำรวจ” นายพิภพ กล่าว

ขณะที่ นายสุริยะใส กล่าวว่า คดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายกฯ ต้องเข้ามาเป็นผู้กำกับดูแลเรี่องนี้ด้วยตนเอง เพราะเรื่องนี้หาก พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. เจอตอ แปลว่า นายกฯ กำลังเจอตอด้วย โดยถ้าปล่อยเรื่องนี้ให้ทีมสอบสวนชุดนี้ยืนอยู่อย่างโดดเดียว สุดท้ายคดีนี้ก็จะเงียบหายไป โดยเฉพาะตอนนี้ที่มีการออกหมายจับ 2 คนร้าย ถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว และคดีนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนมีสี เนื่องจากดูจากข่าวในระยะหลังๆ ชี้ให้เห็นว่าไม่ได้มีแค่สีเดียว ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ หากทั้งสามสี ที่กำลังตกเป็นจำเลยของสังคม มารวมมือหรือจับมือกันแล้วบีบรัฐบาล คดีนี้อาจเป็นเหมือนคาร์บ๊อง ที่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆไป อย่างไรก็ดีคดีนี้จะเป็นบทพิสูจน์สิ่งที่ นายอภิสิทธิ์ พูดมาตลอดว่าหลักนิติรัฐ นิติธรรมต้องเกิดขึ้นในช่วงที่รับหน้าที่บริหารประเทศ ซึ่งถ้าหากทำคดี นายสนธิ ซึ่งเป็นบุคคลที่สังคมรู้จัก โดยจับตัวคนร้ายมาลงโทษไม่ได้ ก็คงไม่มีอะไรมาเป็นประกันได้ว่า ชาวบ้านธรรมดาจะไม่ถูกยิงเมื่อไรก็ได้

นายพิภพ กล่าวเสริมในประเด็นนี้ ว่า นายสนธิ เป็นถึงนักสื่อสารมวลชนที่มีชื่อเสียง ถ้าหากตรวจสอบแล้วว่า คดีถูกลอบฆ่ากระทำโดยคนมีสี ก็ทำลายความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นความจริง ในเมื่อป0ระชาธิปไตย ไม่สามารถตรวจสอบได้โดยสื่อมวลชน ก็ถือว่าหมดความหมาย

“ต่อจากนี้คดีลอบยิง นายสนธิ จะเห็นแนวร่วมออกมาเป็นยวง เพราะดูการออกแบบในการสืบสวนสอบสวนคดีของ พล.ต.อ.ธานี แล้ว มีความสลับซับซ้อน แม้แต่วงการตำรวจยังตามไม่ทัน และก็รู้ว่าท่านคิดหลายชั้น เพราะรู้ดีว่า เดิมทีชุดสอบสวนตั้งขึ้นมา 4 ชุด ตอนนี้เหลือเพียงชุดเดียว นั่นแสดงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งต่อไป นายกฯ ต้องมีบทบาทให้มากขึ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงของคดีนี้ คือ ถ้าหากหน่วยงานต้นสังกัดที่ถูกพาดพิงว่ามีเจ้าหน้าที่ตกเป็นผู้ต้องหา จะไม่ให้ความร่วมมือกับทีมสืบสวน โดยผู้ร้ายอาจถูกฆ่าตัดตอน ซึ่งจะทำให้คดีจบลงง่ายๆ” นายสุริยะใส กล่าว

เลขาธิการพรรค ก.ม.ม.กล่าวต่อว่า การที่นายกฯ เลี่ยงไม่ตอบคำถามเรื่องไส้ศึก ถ้าถึงจุดหนึ่งสังคมไปรู้ว่า เจ้าหน้าที่คนนั้นที่ พล.ต.อ.ธานี พูดหมายถึงคือใคร นั่นจะเป็นสิ่งที่ทำลายความน่าเชื่อถือในตัวนายกฯ ซึ่งเรื่องนี้หากประชาชนรู้ก่อนนับเป็นเรื่องน่าอาย แต่เชื่อว่าเร็วๆ นี้ จะได้รู้ว่าตำรวจที่เป็นหนอนบ่อนไส้คือใคร ทั้งนี้ ตนไม่ได้คาดหวังให้นายกฯ ต้องยุติปัญหาความขัดแย้ง หรือแก้ปัญหาในบ้านเมืองให้ทันในรัฐบาลชุดนี้ แต่ต้องการให้นายกฯวางบรรทัดฐานเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่รัฐบาลชุดต่อไป ตรงนี้ต่างหากที่ถือเป็นชัยชนะ และเป็นสิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากรัฐบาลชุดนี้

“ให้โอกาสรัฐบาลชุดนี้มาตลอด แต่อย่าใช้โอกาสเปลือง บางทีมันต้องใช้ความกล้าหาญทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งขอเรียกร้องให้เข้ามาดูแลเพราะมันเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรง ไม่ได้เป็นการไปข้ามหัวใคร การที่มีคนบอกว่าช่วงหลังพันธมิตรฯ ปลุกให้ประชาชนเกลียดชังตำรวจ ตรงนี้ขอยืนยันว่า มันไม่จริง แท้ที่จริงแล้วคือตำรวจเอง ที่ตกอยู่ในระบอบทักษิณมา 7-8 ปี ทำให้จิตวิญญาณตำรวจหายไป ดังนั้น นายกฯ ต้องเข้าไปจัดการดึงระบบนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะเผชิญหน้ากับความเกียจชังของประชาชนไปตลอด และจะไม่มีวันได้รับศรัทธาจากประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่”
นายพิภพ ธงไชย
นายสุริยะใส กตะศิลา
กำลังโหลดความคิดเห็น