“ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์” แนวร่วมพันธมิตรฯ ส่งทนายฟ้อง “นายกฯ มาร์ค-เทพเทือก-พัชรวาท” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กลั่นแกล้งให้รับโทษอาญา สั่งพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาก่อการร้ายแรงปิด 2 สนาม ศาลนัดฟังคำสั่ง รับไม่รับบ่ายพรุ่งนี้
วันนี้ (13 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้มอบหมายนายณัฐพร โตประยูร ทนายความ เป็นโจทก์ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.91, 157 และ 200
โดยโจทก์บรรยายฟ้องสรุปว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 เป็นรองนายกรัฐมนตรี และจำเลยที่ 3 เป็น ผบ.ตร.มีอำนาจดูแลควบคุมและกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และ พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 เมื่อวันที่ 1 ก.ค.52 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 3 ได้บังอาจร่วมกันทำผิดต่อกฎหมายอาญา โดยจำเลยทั้ง 3 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวน ลงนามออกหมายเรียกผู้ต้องหาฉบับวันที่ 1 ก.ค.52 โดยกล่าวหาโจทก์ว่า “ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่การกระทำในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์, ทำให้การบริหารท่าอากาศยานหยุดชะงักลง ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม ม.9 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548” ทั้งที่ข้อกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริงตามที่จำเลยทั้ง 3 ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหากับโจทก์
ที่จริงแล้วตามวันเวลาที่พนักงานสอบสวนกล่าวหาโจทก์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 เป็นต้นมา มีประชาชนจำนวนมหาศาลรวมตัวกันใช้ชื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใช้สิทธิตามรัฐธรรม พ.ศ.2550 ม.69, 70, 71 โดยชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งขณะนั้นมีกลุ่มบุคคลก้าวล่วง แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย ต่อมานายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนต่อมา ไม่แก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนเขาพระวิหารกับประเทศกัมพูชา และสั่งให้มีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ จนมีผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51
ทั้งนี้ ในระหว่างการชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาโจทก์กับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กระทำผิดฐานเป็นกบฏและขอให้ศาลออกหมายจับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมโจทก์ และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แต่ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์กับพวกไม่ได้กระทำผิดข้อหากบฏตามที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา และต่อมากลุ่มพันธมิตรฯ เพิ่มมาตรการเรียกร้องโดยการเข้าไปชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชั่วคราวแทนทำเนียบรัฐบาล และที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อกดดันให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาตามที่เรียกร้อง
การกระทำของจำเลยทั้ง 3 ที่สั่งให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาเกินความจริงต่อโจทก์ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้โจทก์ต้องถูกออกหมายเรียก และตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพ เสื่อมเสียชื่อเสียง เหตุเกิดที่แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพ ขอให้ศาลมีคำสั่งออกหมายเรียกจำเลยทั้ง 3 มาแก้ต่างคดีและพิพากษาลงโทษตามความผิดด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องคดีหรือไม่ วันที่ 14 ก.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
วันนี้ (13 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้มอบหมายนายณัฐพร โตประยูร ทนายความ เป็นโจทก์ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.91, 157 และ 200
โดยโจทก์บรรยายฟ้องสรุปว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 เป็นรองนายกรัฐมนตรี และจำเลยที่ 3 เป็น ผบ.ตร.มีอำนาจดูแลควบคุมและกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และ พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 เมื่อวันที่ 1 ก.ค.52 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 3 ได้บังอาจร่วมกันทำผิดต่อกฎหมายอาญา โดยจำเลยทั้ง 3 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวน ลงนามออกหมายเรียกผู้ต้องหาฉบับวันที่ 1 ก.ค.52 โดยกล่าวหาโจทก์ว่า “ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่การกระทำในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์, ทำให้การบริหารท่าอากาศยานหยุดชะงักลง ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม ม.9 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548” ทั้งที่ข้อกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริงตามที่จำเลยทั้ง 3 ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหากับโจทก์
ที่จริงแล้วตามวันเวลาที่พนักงานสอบสวนกล่าวหาโจทก์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 เป็นต้นมา มีประชาชนจำนวนมหาศาลรวมตัวกันใช้ชื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใช้สิทธิตามรัฐธรรม พ.ศ.2550 ม.69, 70, 71 โดยชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งขณะนั้นมีกลุ่มบุคคลก้าวล่วง แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย ต่อมานายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนต่อมา ไม่แก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนเขาพระวิหารกับประเทศกัมพูชา และสั่งให้มีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ จนมีผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51
ทั้งนี้ ในระหว่างการชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาโจทก์กับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กระทำผิดฐานเป็นกบฏและขอให้ศาลออกหมายจับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมโจทก์ และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แต่ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์กับพวกไม่ได้กระทำผิดข้อหากบฏตามที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา และต่อมากลุ่มพันธมิตรฯ เพิ่มมาตรการเรียกร้องโดยการเข้าไปชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชั่วคราวแทนทำเนียบรัฐบาล และที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อกดดันให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาตามที่เรียกร้อง
การกระทำของจำเลยทั้ง 3 ที่สั่งให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาเกินความจริงต่อโจทก์ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้โจทก์ต้องถูกออกหมายเรียก และตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพ เสื่อมเสียชื่อเสียง เหตุเกิดที่แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพ ขอให้ศาลมีคำสั่งออกหมายเรียกจำเลยทั้ง 3 มาแก้ต่างคดีและพิพากษาลงโทษตามความผิดด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องคดีหรือไม่ วันที่ 14 ก.ค.นี้ เวลา 13.30 น.