ศาลฎีกาพิพากษายืน คดีภาวนาพุทโธ ร่วมมือแม่ชี หลอกข่มขืนเด็กชาวเขาให้จำคุก "ภาวนาพุทโธ" 50 ปี ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นธุระจัดหาเด็กติดคุกหัวโตกันถ้วนหน้า
วันนี้(7 พ.ค.)ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจำลอง คนซื่อ อายุ 56 ปี หรือ "พระภาวนาพุทโธ" อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม กับพวกรวม 8 คน ประกอบด้วย น.ส.สมจิตร รักสีขาว อายุ 32 ปี , น.ส.ช่อผา สกุลวนาการ อายุ 31 ปี, น.ส.อนงค์ วงศ์ใจประเสริฐ อายุ 37 ปี, น.ส.จินตนา ดารานโรดม อายุ 28 ปี , น.ส.สุภาพ นาวรัตน์ อายุ34 ปี, นางศรีเพ็ญ มีกลอนเพราะ อายุ 36 ปี และน.ส.ขนิษฐา มีกลอนเพราะ อายุ 31 ปี จำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปีและไม่เกิน15ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน และฐานได้กระทำต่อศิษย์ที่อยู่ในความดูแล และพวกแม่ชีถูกฟ้องฐานเป็นผู้สนับสนุน เป็นธุระจัดหา และชักพาหญิงไปเพื่อสำเร็จความใคร่เพื่อการอนาจาร คดีในชั้นฎีกามีเฉพาะจำเลยที่1กับ3 ยังติดใจฎีกา ส่วนจำเลยอื่นไม่ติดใจฎีกาเพราะถูกจำคุกไปจนพ้นโทษแล้วเป็นส่วนใหญ่
คำพิพากษาศาลฎีกาใจความว่า โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 38 เมื่อระหว่างเดือน ส.ค.31- ม.ค.38 จำเลยที่ 1 ขณะบวชเป็นพระภิกษุและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม มีนามฉายาว่า?พระมหาจำลอง กิตติปัญโญ?หรือพระภาวนาพุทโธ เป็นประธานมูลนิธิหลวงพ่อพุทโธภาวนา รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงชาวเขายากจนและอยู่ในถิ่นทุรกันดารจาก จ.แม่ฮ่องสอน และจ.เชียงใหม่ รวม20คน ไว้ใกล้กุฎิ ส่วนจำเลยที่ 2-8 เป็นแม่ชีอยู่ในวัดสามพรานและเป็นลูกศิษย์ของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี 15 ปี และหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี รวม 9 คน ซึ่งเป็นเด็กชาวเขาในอุปการะของจำเลยที่ 1 มาให้จำเลยที่ 1 กระทำอนาจารและข่มขืนตั้งแต่ปี 2531-2538 แต่จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลอาญาพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหมดกระทำผิดจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงมีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.47 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวมความผิดหลายข้อหารวม 160 ปี แต่ตามกฎหมายกำหนดให้จำคุกจำเลยไว้ได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 50 ปี , จำเลยที่ 2 จำคุก 31 ปี , จำเลยที่ 3 จำคุก 28 ปี , จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี , จำเลยที่ 5 จำคุก 3 ปี , จำเลยที่ 6 จำคุก 4 ปี , จำเลยที่ 7 จำคุก 10ปี ส่วนจำเลยที่ 8 ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยที่1-4 และ 6-7 ยื่นอุทธรณ์คดีขอให้ศาลยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 5 กับ 8 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่1และ3 ถูกขังไว้ระหว่างฎีกา
คดีจึงมีประเด็นพิจารณาในชั้นฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ และ ได้กระทำต่อผู้เป็นศิษย์อยู่ในความดูแลที่ต้องรับโทษหนักขึ้นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ที่เป็นผู้เสียหายเบิกความสอดคล้องกันทั้ง9ปากถึงพฤติการณ์จำเลยว่า ได้มีจำเลยที่เป็นแม่ชี พาผู้เสียหายรายละ1คน เข้ามาที่กุฏิทางห้องน้ำ อ้างว่าต้องไปทำความสะอาดห้องบันทึกเทป จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายไหว้พระพุทธรูป จำเลยที่1จึงเดินมาจากชั้น2ทางบันได้เหล็ก แล้วให้ผู้เสียหายมากราบที่ตัก แล้วใช้มือลูบผม แล้วให้ผู้เสียหายไปปูที่นอน หรือให้ช่วยบีบนวดที่ขา จากนั้นจำเลยที่1จะเดินมาทางด้านหลังแล้วโอบกอด โดยให้แม่ชีช่วยจับแขนขา จำเลยที่1 จึงจูบที่นมแล้วใช้อวัยวะเพศสอดใส่กระทำชำเรา เมื่อสำเร็จความใคร่แล้วก็ให้ผู้เสียหายกินยาคุมกำเนิด แล้วพาไปล้างอวัยวะเพศที่ก๊อกน้ำในห้องน้ำ ก่อนให้แม่ชีพากลับห้องพัก สำหรับรายที่ครั้งแรกไม่ยินยอมก็จะถูกลงโทษด้วยการเดินจงกลมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม
ต่อมาได้มีพระสุรัตน์ พระลูกวัดโพธิ์เรียง ซึ่งเป็นญาติของผู้เสียหายรายหนึ่ง ได้ทราบจากผู้เสียหายถึงเรื่องราวดังกล่าวจึงให้เขียนบันทึก ทำแผนที่แล้วไปร้องกรมการศาสนาและกองปราบปราบ ต่อมาสื่อมวลชนเสนอข่าว ตำรวจได้พบผู้เสียหายที่ทยอยเปิดเผยตัวมากขึ้น จึงเริ่มสอบสวนจริงจังโดยพาไปดูที่เกิดเหตุ ที่ชี้จุด เก็บหลักฐานพยาน จนได้รอยลายนิ้วมือจำเลย ร่องรอยห้องน้ำที่ถูกดัดแปลง รอยบันไดเหล็ก
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ตนเป็นพระมีชื่อเสียงด้านบำเพ็ญภาวนา และนำเด็กชาวเขาที่นับถือศาสนาอื่นมาเป็นชาวพุทธ สร้างความไม่พอใจแก่ศาสนาอื่น จึงร่วมกันกลั่นแกล้งปั้นเรื่อง นอกจากนี้ห้องที่เกิดเหตุก็ไม่ตรงกับบันทึกแผนที่ของเด็ก และอวัยวะเพศของตนก็ผิดปกติไม่อาจร่วมเพศได้ ส่วนอวัยวะเพศผู้เสียหายก็ไม่มีร่องรอยถูกชำเรา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่เกิดเหตุ แม้ได้ถูกดัดแปลงก่อสร้างเพิ่มเติมหลังเกิดเหตุ แต่ยังมีร่องรอยตรงกับที่ผู้เสียหายเบิกความ ซึ่งเห็นว่าจำเลยที่1 สามารถเดินขึ้นลงจากกุฏิชั้น2ลงมาชั้นล่างโดยที่คนภายนอกมองไม่เห็น นอกจากนี้จำเลยกลับนำเด็กหญิงมาอยู่ใกล้ๆกุฎิ ทั้งที่ควรจะเป็นเด็กชาย จึงผิดวิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม บริเวณกุฎิมีทางเดินซับซ้อนเกินความจำเป็น แม้จะติดป้ายว่าเป็นเขตสงฆ์ แต่เมื่อดูจากร่องรอยก๊อกน้ำเก่า รอยปิดฝ้าเพดานไม้อัดทับช่องทางลับที่เคยเป็นบันไดเหล็ก ก็ล้วนแสดงว่า เด็กหญิงสามารถเข้าไปในกุฎิได้และจำเลยก็สามารถเข้ามาในห้องบันทึกเทปชั้นล่างได้โดยง่าย
ศาลยังเห็นว่า การที่จำเลยอ้างว่าแม้ตนเป็นเจ้าอาวาสและเป็นประธานมูลนิธิ แต่ไม่ได้มีอำนาจกำกับดูแลเด็กหญิงชาวเขา จึงไม่ได้มีการกระทำผิดต่อศิษย์ในความดูแลนั้น เห็นว่า เด็กถูกส่งตัวมาศึกษาธรรมและขอรับการศึกษาระดับสามัญ จึงอยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ฎีกาของจำเลยไม่มีข้อสาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลง คำพิพากษาเป็นอย่างอื่นได้ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
หลังฟังคำพิพากษา นายจำลอง คนซื่อ ซึ่งอยู่ในชุดนักโทษ โกนศีรษะโล้นสวมโซ่ตรวน ได้ถูกคุมตัวไปพร้อมกับแม่ชีจำเลยที่3 โดยมีสาวก ต่างนั่งพนมมือร้องไห้ อย่างน่าเวทนา
ปรากฏการณ์แห่งศรัทธา “พระพยอม-ภาวนาพุทโธ”
พึลึก! ราชทัณฑ์ไม่ขัดข้องให้นักโทษ “ภาวนาพุทโธ” เทศน์สอนคนนอกคุก!