xs
xsm
sm
md
lg

ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ไม่รับอุทธรณ์ “วัฒนา” ทุจริตคลองด่าน!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายวัฒนา อัศวเหม
ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ไม่รับอุทธรณ์คดี “วัฒนา อัศวเหม” อดีต รมช.มหาดไทย ทุจริตจูงใจ จนท.ที่ดินสมุทรปราการออกโฉนดคลองด่าน ทับที่สาธารณะ ส่งผลคดีถึงที่สุด รอตามตัวที่หลบหนีไปต่างประเทศ กลับมารับโทษจำคุก 10 ปี ภายในอายุความ 15 ปี

วันนี้ (30 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คดีที่ นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย เป็นจำเลย ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้จำคุก นายวัฒนา เป็นเวลา 10 ปี ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใจให้เพื่อให้บุคคลใด มอบให้ซึ่งทรัพย์สิน ด้วยการบังคับซื้อที่ดิน ต.บางเหี้ย (คลองด่าน) อ.บางเหี้ย (บางบ่อ) จ.สมุทรปราการ จากราษฎรหลายราย และข่มขืนใจหรือจูงใจด้วยการบังคับขู่เข็ญ หรือกระทำการโดยวิธีการอื่นใด ให้ข้าราชการสังกัดกรมที่ดินแลกรมการปกครอง ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ในการออกโฉนดที่ดิน 5 แปลง

คดีนี้หลังจากที่ศาลฎีกา มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ส.ค.2551 แล้ว ทนายความนายวัฒนา ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 กำหนดไว้ในมาตรา 278 วรรคสาม ยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2551 โดยฝ่ายจำเลยระบุว่ามีพยานบุคคล รวม 17 ปาก เป็นหลักฐานใหม่

เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์แล้วที่ประชุมใหญ่ จึงแต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษารวม 5 คน พิจารณาอุทธรณ์เพื่อทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสนอที่ประชุมใหญ่ ซึ่งองค์คณะพิจารณาตามบทบัญญัติ รธน.มาตรา 278 วรรคสาม ประกอบกับระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551 ข้อ 3 และ 4 แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่จำเลยยกขึ้นอ้างไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ที่อาจจะทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ และไม่ใช่พยานหลักฐานที่จำเลยไม่รู้ หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าพยานหลักฐานดังกล่าวมีอยู่ ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา

ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา พิจารณาแล้วก็เห็นด้วยกับความเห็นสรุปสำนวนองค์คณะ ซึ่งพิจารณา 3 ประเด็น คือ 1.พยานหลักฐานประเด็นว่า การออกโฉนดที่ดิน ชอบด้วยระเบียบและกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจำเลยอ้าง นายไพฑูรย์ สุนทรวิภาค อดีต ผู้ว่าฯ จ.สมุทรปราการ ปี 2533-2547, นายวีระ รอดเรือง อดีต ผู้ว่าฯ จ.สมุทรปราการ ปี 2537-2542, นายวิเชียร รัตนพีระพงศ์ อดีต อธิบดีกรมที่ดิน, พล.ต.ต.ยงยุทธ สาระสมบัติ อดีตเลขาธิการ ครม., นายกำธร จันทรแสง อดีตรองเลขาธิการ ครม., นายประพันธ์ ชลวีระวงศ์ อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ, นางอุบล เอื้อศรี อดีตปลัดจังหวัดสมุทรปราการ, นายสมมาตร ดลมินทร์ อดีตเจ้าพนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ, นายคมชิต วิชญะเดชา อดีตเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ สาขาบางพลี และ ม.ล.พีพล นพวงศ์ อดีตนายอำเภอบางบ่อปี 2535-2536 เป็นพยาน เพื่อเสนอข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2531 ครม.มีมติให้ออกหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดินให้กับราษฎรบริเวรที่ดินพิพาทดังกล่าว ซึ่ง จ.สมุทรปราการ ได้แจ้งให้สำนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ ทราบ และปฏิบัติตามมติ ครม.อย่างเคร่งครัด และมีการออกโฉนดให้กับรายอื่นหลายราย โดยไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องหรือโต้แย้งของราษฎรในพื้นที่แต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้รับการยืนยันจากคณะกรรมการป้องกันและหยุดยั้งการบุกรุกที่ดินป่าชายเลน ที่ทำการตรวจสอบที่ดินแล้วว่า ไม่มีการบุกรุกและที่ดินไม่มีสภาพเป็นทางสาธารณะ และ

2.พยานหลักฐานในประเด็นว่า จำเลยข่มขืนใจหรือจูงใจ ให้เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและเจ้าพนักงานสำนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ สาขาบางพลี ออกโฉนดที่ดินโยมิชอบด้วยระเบียบหรือกฎหมายหรือไม่ จำเลยอ้าง นายสุทัศน์ ธรรมรักคิด ซึ่งอ้างว่า เป็นผู้ติดต่อใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ สาขาบางพลี, นายจำเนียร ปานพุ่มชื่น นายอำเภอบางบ่อในช่วงเกิดเหตุ, นายสมบัติ เลาประเสริฐ สารวัตรกำนัน ต.คลองด่าน ในช่วงเกิดเหตุ, นายวีระวงศ์ สุวรรณวานิช เจ้าหน้าที่ สำนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ สาขาบางพลี ในช่วงเกิดเหตุ, นายบุญเชิด คิดเห็น สำนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ สาขาบางพลี, นายวีระ รอดเรือง, ท่านเจ้าคุณพิพิธ ธรรมสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ และ พล.ต.ชิณเสน ทองโกมล เป็นพยาน นำเสนอข้อเท็จจริง เพื่อยืนยันว่าจำเลยไม่เคยข่มขู่เจ้าหน้าที่ รวมทั้ง นายไพศาล กาญจนประพันธ์ และ นายสมชัย แตงน้อย แต่อย่างใดในการรังวัดโฉนดที่ดิน และฝ่ายรังวัดก็ไม่ได้แจ้งขัดข้องในการออกโฉนดว่าทับที่สาธารณะ รวมทั้งประเด็นการมอบพระเครื่องผงสุพรรณ เพื่อจูงใจเจ้าพนักงานในการออกโฉนด ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เห็นว่า พยานหลายปาก ไม่เคยมาเบิกความต่อศาล ขณะที่เรื่องมติ ครม.ไม่ใช่พยานหลักฐานที่อาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่พยานหลักฐานที่จำเลยไม่รู้ถึงความมีอยู่ของพยานหลักฐานนั้น

3.พยานหลักฐานในประเด็นว่า การที่จำเลยใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าพนักงาน สำนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการสาขาบางพลี และเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองออกโฉนดให้โดยมิชอบนั้นเป็นการใช้อำนาจโดยตำแหน่ง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 หรือไม่ จำเลย พล.ต.ต.ยงยุทธ สาระสมบัติ อดีตเลขาธิการ ครม., นายกำธร จันทรแสง อดีตรองเลขาธิการ ครม.เป็นพยานเพื่อเสนอข้อเท็จจริงว่าจำเลย ไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษกับกรมที่ดินเพราะจำเลย ไม่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกรมที่ดินโดยตรง การแต่งตั้งเสนอข้าราชการที่จะนำเข้าสู่ครม.จะเป็นการพิจารณาแต่งตั้งระดับ 10 ขึ้นไป และการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด หรือ เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เป็นอำนาจของกรมที่ดินโดยตรง ที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกา พิจาณาแล้วเห็นว่าพยานดังกล่าว ไม่ใช่หลักฐานที่อาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปซึ่ง ข้อเท็จจริงรับกันว่าในช่วงเกิดเหตุจำเลยไม่ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจการสั่ง อนุญาต อนุมัติ การปฏิบัติหน้าที่ราชการเกี่ยวกับกรมที่ดิน แต่ที่ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งของจำเลยเนื่องจากเห็นว่าจำเลยมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ.2534, พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2534 และมีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 ก.ย.2515 มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมครม.เพื่อมีข้อเสนอแนะให้ความเห็นและมีมติในกิจการงานกรมหรือกระทรวงอื่นรวมทั้งมีสิทธิ์แสดงความเห็นและการมีมติแต่งตั้งข้าราชการระดับ 10 และ 11 ซึ่งเป็นการวินิจฉัยประเด็นโดยอาศัยข้อกฎหมายดังนั้นข้ออ้างทางปฏิบัติของจำเลยจึงไม่ใช่พยานหลักฐานที่ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ

ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จึงมีมติว่า อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ ไม่เข้าตามบทบัญญัติ รธน. มาตรา 278 วรรคสาม ประกอบกับระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551 ข้อ 3 และ 4 จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ เมื่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์นายวัฒนา แล้ว ได้นำลงประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา สำหรับ นายวัฒนา ขณะนี้อยู่ระหว่างการหลบหนีคดีโดยศาลฎีกา ได้ออกหมายจับเพื่อให้ติดตามตัวมารับโทษแล้ว และเมื่อประชุมใหญ่ศาลฎีกา ไม่รับอุทธรณ์จึงทำให้คดีถึงที่สุด ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวนายวัฒนา ได้ก็จะถูกนำตัวคุมขังที่เรือนจำทันทีตามโทษที่ศาลฎีกา พิพากษาลงโทษจำคุก 10 ปี อย่างไรก็ดี สำหรับคดีดังกล่าวมีอายุความ 15 ปี ที่จะติดตามตัวนายวัฒนามารับโทษ
กำลังโหลดความคิดเห็น