ผู้จัดการรายวัน - ศาลฎีกาฯออกหมายจับ “วัฒนา อัศวเหม”หนีฟังคำพิพากษาคดีทุจริตที่ดินโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ชี้จงใจเบี้ยวมาศาล สั่งปรับนายประกัน นัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง 18 ส.ค. นี้"สตม." รอหมายศาลก่อนตามสกัดจับ ลุ้น ป.ป.ช. เร่งสรุปผลสอบทุจริตโครงการ มัด “สุวัจน์” เข้าปิ้งอีกราย
วานนี้ ( 9 ก.ค.) เวลา 14.00 น.ที่ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลโดย ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะ 9 คน ในคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา คดี อม.2/2550 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย และประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นจำเลย
ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใด มอบให้ หรือหามาซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความเสียหายแกผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต มีอัตราโทษจำคุก ตั้งแต่ 5 –20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท หรือประหารชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148,157,33และ84 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 2
กรณีสืบเนื่องจากนายวัฒนา ใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณะประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
อย่างไรก็ตาม นายวัฒนา จำเลยไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียงนายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความ เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษา เมื่อถึงเวลาศาลได้สอบถามทนายจำเลยว่าจำเลยมาศาลหรือไม่ ทนายจำเลยแถลงว่า เมื่อ 3 วันก่อน จำเลยได้โทรศัพท์ติดต่อเข้ามาพร้อมกับยืนยันว่าจะเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามกำหนดนัด แต่ในวันนี้ตนได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังจำเลยแต่ไม่สามารถติดต่อได้ และไม่ทราบว่าตอนนี้จำเลยอยู่ที่ไหน
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษา ถือว่าจงใจไม่มาฟังคำพิพากษาผิดสัญญาประกัน จึงให้ปรับนายประกัน และออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษา โดยนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 18 ส.ค.51 เวลา 14.00 น.
**เคยพูดผิดไม่หนีให้ประหาร**
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้นายวัฒนา ได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวเป็นสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ขอยื่นประกันตัว ซึ่งศาลตีราคาประกัน 2.2 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ในการสืบพยานจำเลย นายวัฒนา เคยเบิกความต่อศาลเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง และกล่าวว่าถ้าหากทำผิดจริงให้ลงโทษประหารชีวิตซึ่งเป็นโทษสูงสุดเลย นอกจากนี้ ยังเคยให้สัมภาษณ์ยืนยันจะไม่หนีไปไหนและจะเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามกำหนดนัดอย่างแน่นอน แต่ในที่สุดเมื่อศาลกำหนดนัดฟังคำพิพากษากลับไม่ปรากฏเงาของนายวัฒนา มาศาล
สำหรับคดีนี้ พยานฝ่ายโจทก์ที่เข้าไต่สวนมีจำนวนทั้งสิ้น 40 ปาก โดยไต่สวนรวม 10 นัด ตั้งแต่ 12,13,15,19,20,22,26,27,29 ก.พ. และ 11 มี.ค.51 ส่วนพยานจำเลยที่เข้าไต่สวนทั้งสิ้น 15 ปาก ใช้เวลาไต่สวน 5 นัด วันที่ 28 มี.ค. , 2,8,11 และ 17 เม.ย.51 แต่ที่ผ่านมานายวัฒนา ได้ยื่นใบรับรองแพทย์ต่อศาล ระบุว่า ป่วยเป็นโรคก้านสมองตีบ มีอาการสับสนเฉียบพลัน ความจำหลงลืมชั่วคราวจึงขอศาลเลื่อนขึ้นเบิกความถึง 4 ครั้ง โดยนายวัฒนา มอบหมายให้ทนายความ ร้องขอต่อศาลที่จะไม่ต้องมาศาลขึ้นเบิกความด้วยตนเอง แต่ขอยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรแทน แต่ศาลไม่อนุญาต
ศาลจึงให้นายวัฒนา เข้าไต่สวนในวันที่ 2 ,6 และ 8 พ.ค.51 พร้อมพยานที่ศาลเรียกไต่สวนเองอีก 9 ปาก ประกอบด้วย 1. นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 2. นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย 3. นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช 4. นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 5. นายอนันต์ อนันตกูล อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ 6. นายบัญญัติ จันทร์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 7. นายผัน จันทรปาน อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีต ป.ป.ช. 8. นายไพศาล กาญจนประพันธ์ อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี 9. นายสมชัย แตงน้อย อดีตนายช่างรังวัด 6 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายรังวัด โดยการไต่สวนพยานคดีนี้นอกจาก พยานบุคคลแล้วยังมีพยานเอกสารที่ โจทก์ – จำเลย อีก 28 แฟ้มจำนวนหลายพันหน้า และพยานวัตถุอีกหลายรายการ
*** "ตม.รอหมายศาลก่อนสกัดจับ
พล.ต.ท.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ผบช.สตม.)เปิดเผยถึงการป้องกันนายวัฒนา หลบหนีออกนอกประเทศ หลังศาลออกหมายจับว่าขณะนี้ศาลยังไม่ได้ส่งหมายจับมาที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.)แม้จะทราบข่าวตำรวจถึงจะเจอตัวก็ยังไม่สามารถจับกุมได้เพราะยังไม่มีหมายจับ ซึ่งหากศาลส่งหมายจับนายวัฒนา มายัง สตม. ก็จะขึ้นบัญชีเฝ้าดูผู้ที่มีหมายจับและส่งไปยังหน่วยต่างๆ ทันที
“หาก สตม.ได้รับข้อมูลในเรื่องนี้จากศาล หรือหมายจับจากศาล ก็จะดำเนินการตามหน้าที่ในทันที โดยเฉพาะในกรณีนี้ที่เป็นคดีที่บุคคลให้ความสนใจ และยืนยันว่าตำรวจ สตม.พร้อมที่จะดำเนินการจับกุมนายวัฒนา หากพบตัวปรากฏตัวตามด่านตรวจคนเข้าเมืองต่างๆ ตามหมายศาล” ผบช.สตม. กล่าว
อนึ่ง คดีดังกล่าว ทางอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวัฒนา เมื่อวันที่ 21 ส. ค. 50 พร้อมสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานที่คณะป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดนายวัฒนาจำนวน 5,355 แผ่น บรรจุ 10 ลัง ยื่นต่อแผนกรับฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยในท้ายคำฟ้อง อัยการขอให้ศาลริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด ซึ่งเป็นพระผงสุพรรณ จำนวน 1 องค์ ที่นายวัฒนามอบให้แก่เจ้าหน้าพนักงานที่ดิน ให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย
บรรยายคำฟ้องสรุปพฤติการณ์กระทำผิดของนายวัฒนาไว้ 2 ช่วง คือ ช่วงที่ระหว่างวันที่ 10 ส.ค.31 ถึง 23 ก.พ. 34 และระหว่างวันที่ 21 เม.ย.35 - 15 มิ.ย. 38 ซึ่งขณะดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย นายวัฒนาร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมที่ดินที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิที่ดินในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบบังคับข่มขืนใจหรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินให้และบีบบังคับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกเอกสารสิทธิที่ดินที่ได้กว้านซื้อไว้และขอออกในนามบริษัทเอกชนรายหนึ่ง และร่วมกันดำเนินการออกโฉนดที่ดินบริเวณ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการโดยมิชอบในเขตพื้นที่สงวนหวงห้าม ทับที่สาธารณประโยชน์และนำเอาหลักฐานสำหรับที่ดินแปลงอื่นมาอ้างในการออกโฉนดที่ดิน จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินและผู้ปกครองท้องที่ต้องออกโฉนดที่ดินให้รวม 5 แปลง
สำหรับโฉนดทั้ง 5 แปลง ประกอบด้วย โฉนดที่ดินเลขที่ 13150, 13817, 15024, 15528 และเลขที่ 15565 เนื้อที่ประมาณ 1,900 ไร่ ซึ่งต่อมาได้มีการขายที่ดินทั้ง 5 แปลงดังกล่าวให้กับกรมควบคุมมลพิษ เพื่อใช้ในการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน แต่ภายหลังกรมที่ดินได้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 13150, 13817, 15024, 15528 รวม 4 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,356 ไร่ เนื่องจากมีการออกโฉนดที่ดินทับคลองสาธารณประโยชน์ และมีการนำหลักฐานสำหรับที่ดินแปลงอื่นมาอ้างออกโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ ศาลฯ สั่งประทับรับฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 50 ที่ผ่านมา
นอกจากนายวัฒนา แล้ว ป.ป.ช. ยังชี้มูลความผิดทางอาญาเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน และเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง จำนวน 9 ราย ประกอบด้วย 1) นายสมมาตร ดลมินทร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด สมุทรปราการ สาขาบางพลี 2) นายชวณัฐ โฉมจังหวัด เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายช่างรังวัด 6 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายรังวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี 3) นายอริยะ สุกวรรณรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายช่างรังวัด 5 ทำหน้าที่หัวหน้างานรังวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี
4) นายพรชัย ดิสกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายช่างรังวัด 4 สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี 5) นายคมชิต วิชญะเดชา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 6) ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี 7) นายวิชัย ฉ่างทองคำ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการที่ดิน 5 ทำหน้าที่หัวหน้างานหนังสือสำคัญ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี 8) นายเกรียงศักดิ์ ตัณฑะตะนัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 9) นายณรงค์ ยอดศิรจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกำนันตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
นอกจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังได้ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงกับเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน อีก 3 ราย ประกอบด้วย นายไพศาล กาญจนประพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี นายสมชัย แตงน้อย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายช่างรังวัด 6 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายรังวัด และนายวีระวงศ์ สุวรรณวณิช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 6 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี
สำหรับในส่วนเจ้าหน้าที่ที่ดินและเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง อัยการได้แยกสำนวนฟ้องคดีอาญา
ตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 15565 (เนื้อที่ 377-3-76 ไร่) ที่ออกโดยมิชอบ ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และให้เพิ่มเติมเงื่อนไขในการเพิกถอนโฉนดที่ดิน จำนวน 4 แปลงที่กรมที่ดินได้เพิกถอนไปแล้ว ว่า เป็นการออกในพื้นที่สงวนหวงห้ามที่เทขยะมูลฝอยอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินประเภทเพื่อใช้ประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะด้วย
***ลุ้นป.ป.ช.เร่งมือสอบทุจริตโครงการ
การตรวจสอบทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แยกออกเป็น 2 ส่วน คือ หนึ่ง การทุจริตจัดซื้อที่ดิน ซึ่งสรุปสำนวนส่งฟ้องศาลฎีกาฯ และไต่สวนคดีกระทั่งศาลกำหนดอ่านมีคำพิพากษาในวันที่ 18 ส.ค.นี้ สอง การทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ซึ่งขณะนี้ ป.ป.ช. ยังดำเนินการไต่สวนอยู่ โดยเรื่องอยู่ระหว่างการไต่สวนพยานบุคคล และรวบรวมพยานหลักฐาน
ทั้งนี้ ตามสำนวนสอบสวนคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ส่งให้ ป.ป.ช. ระบุว่า มีนักการเมืองเกี่ยวข้องกับการทุจริตคลองด่าน 3 คน คือ นายวัฒนา อัศวเหม, นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และนายยิ่งพันธ์ มนะสิการ (เสียชีวิตแล้ว) มีอดีตข้าราชการระดับ 10 เกี่ยวข้องทุจริต คือ นายปกิต กิระวานิช และข้าราชการระดับ 10 ซึ่งยังรับราชการอยู่คือ นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์, นางนิศากร โฆษิตรัตน์ และข้าราชการกรมควบคุมมลพิษ รวมกับข้าราชการกรมที่ดิน กรมการปกครอง ประมาณ 20 ราย
การทุจริตในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนโครงการและเพิ่มงบประมาณจาก 13,000 ล้านบาท เป็น 23,000 ล้านบาท โดยการย้ายจุดสร้างระบบบำบัดน้ำเสียจากฝั่งตะวันออก และตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ อ.บางปู และอ.พระสมุทรเจดีย์ ไปรวมอยู่จุดเดียวที่ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ บนเนื้อที่ 1,903 ไร่ เพื่อหวังขายที่ดินที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของอยู่เบื้องหลัง โดยมูลค่าซื้อขายที่ดินตกประมาณ 1,956 ล้านบาท สูงกว่าราคาประเมินเท่าตัว และซื้อแปลงใหญ่เกินใช้สอยถึง 3 เท่า อีกทั้งต้องการเพิ่มงบก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสียทั่วจังหวัด ซึ่งมีบริษัทเอกชนเครือญาตินายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นผู้ชนะประมูลงานก่อสร้าง โดยงบก่อสร้างมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของมูลค่าโครงการ