ศาลฎีกาฯ นัดชี้ชะตา “วัฒนา อัศวเหม” อดีต รมช.มหาดไทย จำเลยคดีทุจริตที่ดินคลองด่านออกโฉนดทับที่สาธารณะ 1,900 ไร่ วันนี้ 18 ส.ค. หลังออกหมายจับ ปรับนายประกัน 2.2 ล้าน ฐานหลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษา ด้าน “จงรัก จุฑานนท์” รอง ผบ.ตร.เชื่อ “วัฒนา” ไม่มาศาลแน่ เรียกร้องให้กลับมาวัดดวงติดคุกหรือไม่ ระบุยกฟ้องกลับบ้านได้ไม่ต้องเร่ร่อน หากศาลจำคุกคุกเตรียมประสานเขมรส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษ
วันนี้ (18 ส.ค.) เวลา 14.00 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาล โดย ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะ 9 คน ในคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน นัดอ่านคำพิพากษาคดี อม.2/2550 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย และประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจ หรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใด มอบให้ หรือหามาซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความเสียหายแกผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 33 และ 84 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 2 กรณีสืบเนื่องจากนายวัฒนาใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท หรือประหารชีวิต โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ค.ซึ่งเป็นวันนัดอ่านคำพิพากษาครั้งแรก นายวัฒนาได้หลบหนีไปอยู่ในประเทศกัมพูชา ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาตามกำหนดนัด ศาลจึงได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับ นายวัฒนา และปรับนายประกันจำนวน 2,200,000 บาท
ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัวนายวัฒนามาฟังพิพากษาว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยังคงพยายามติดตามจับกุมนายวัฒนาตามหมายจับของศาลมาโดยตลอด แม้จะมีระยะเวลาเหลืออีกเพียงวันเดียวก็ตาม เชื่อว่าหากนายวัฒนายังอยู่ในประเทศไทยจริงคงพบตัวแล้ว แต่เนื่องจากได้รับรายงานจากการข่าวหลายสายสอดคล้องต้องกันว่านายวัฒนาได้หลบหนีไปประเทศกัมพูชาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งตนคงจะต้องเดินทางไปแถลงต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถึงผลการดำเนินการตามหมายจับของศาลที่ส่งมาให้ สตช. ติดตามตัวนายวัฒนา และศาลก็อาจใช้ดุลยพินิจอ่านคำพิพากษาจำเลยได้ เพราะเป็นดุลพินิจและอำนาจของศาลอยู่แล้ว
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า สำหรับการร้องขอให้ประเทศกัมพูชาส่งตัว นายวัฒนา เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีประเทศไทยนั้น ทางประเทศกัมพูชาปฏิเสธที่จะส่งให้ เพราะเนื่องจากขณะนี้นายวัฒนา ยังไม่ได้ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดและลงโทษจำคุก เป็นแต่เพียงการหลบหนีไม่ไปฟังคำพิพากษาของศาลเท่านั้น ต้องรอฟังผลจากคำพิพากษาของศาลในวันนี้ก่อนว่า นายวัฒนากระทำความผิดหรือไม่ และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกหรือไม่ ซึ่งหากนายวัฒนา ถูกพิพากษาว่ามีความผิดและถูกศาลพิพากษาจำคุก และถูกออกหมายจับอีกครั้งหนึ่ง ทางตำรวจก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าจะเข้าหลักเกณฑ์ตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างประเทศไทยหรือไม่ เพื่อให้ประเทศกัมพูชาส่งตัวนายวัฒนากลับมาลงโทษตามคำพิพากษา แต่ถ้าหากปรากฏว่าศาลพิพากษายกฟ้องแล้ว นายวัฒนาก็สามารถเดินทางกลับมาประเทศไทยได้เองตามปกติ เพราะถือว่าไม่มีความผิดใดๆ
“ผมเชื่อว่านายวัฒนาคงจะไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาล คงหลบหนีไปแล้ว เพราะ หากจะมาฟังคำพิพากษาน่าจะมีการประสานงานกับทางตำรวจแล้ว คงไม่โผล่ไปที่ศาลเฉยๆ เป็นแน่ เพราะการเดินทางไปศาลจะต้องเดินทางผ่านถนนหนต่างๆ อาจถูกตำรวจจับกุมได้ แต่ผมก็อยากเรียกร้องให้นายวัฒนากลับมาฟังคำพิพากษา เพราะขณะนี้ยังไม่รู้ว่าศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไร อาจจะยกฟ้องก็ได้ น่าจะมาวัดดวงกันดู ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องก็สามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยต่อไปได้ ไม่ต้องระเหเร่ร่อน” พล.ต.อ.จงรัก กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้พยานฝ่ายโจทก์ที่เข้าไต่สวนมีจำนวนทั้งสิ้น 40 ปาก โดยไต่สวนรวม 10 นัด ตั้งแต่ 12, 13, 15, 19, 20, 22, 26, 27, 29 กุมภาพันธ์ และ 11 มีนาคม ส่วนพยานจำเลยที่เข้าไต่สวนทั้งสิ้น 15 ปาก ใช้เวลาไต่สวน 5 นัด วันที่ 28 มีนาคม, 2, 8, 11 และ 17 เมษายน 2551 โดยที่ผ่านมานายวัฒนาเคยได้ยื่นใบรับรองแพทย์ต่อศาล ระบุว่า ป่วยเป็นโรคก้านสมองตีบ มีอาการสับสนเฉียบพลัน ความจำหลงลืมชั่วคราว เพื่อขอศาลเลื่อนขึ้นเบิกความถึง 4 ครั้ง นอกจากนี้ยังได้ร้องขอต่อศาลไม่ขึ้นเบิกความด้วยตนเอง แต่ขอยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรแทน แต่ศาลไม่อนุญาต ศาลจึงให้ นายวัฒนา เข้าไต่สวนในวันที่ 2, 6 และ 8 พฤษภาคม 2551 พร้อมพยานที่ศาลเรียกไต่สวนเองอีก 9 ปาก ประกอบด้วย 1.นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 2.นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย 3.นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช 4.นาย ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 5.นายอนันต์ อนันตกูล อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
6.นายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 7.นายผัน จันทรปาน อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีต ป.ป.ช. 8.นายไพศาล กาญจนประพันธ์ อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี 9.นายสมชัย แตงน้อย อดีตนายช่างรังวัด 6 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายรังวัด โดยการไต่สวนพยานคดีนี้นอกจาก พยานบุคคลแล้วยังมีพยานเอกสารที่ โจทก์-จำเลย อีก 28 แฟ้มจำนวนหลายพันหน้า และพยานวัตถุอีกหลายรายการ