ประหารชีวิต “กุ้ง ทับสะแก” มือปืนดัง ร่วมฆ่าหัวคะแนนเลือกตั้ง อบต.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี สารภาพศาลปรานีลดเหลือคุกตลอดชีวิต
วันนี้ (24 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1488/2549 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายสมมิตร หรือกุ้ง พุ่มเกษม มือปืนอันดับ 1 บัญชีรายชื่อ 50 มือปืนรับจ้างในเมืองไทยชุดที่ 2 ปี 2549 ฉายา “กุ้ง ทับสะแก” เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า ระหว่างวันที่ 27 พ.ค.-31 พ.ค. 48 จำเลยร่วมกับนายสมพร หรืออ๊อด กลิ่นชื่น และนายประมวล หรือมวล จีนาภักดิ์ จำเลยที่ 1-2 ในคดีหมายเลขดำที่ อ.2855/2548 โดยนายประมวล ผู้กว้างขวางใน อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เป็นผู้จ้างวานจำเลย และนายสมพร ฆ่านายสำราญ ภักดีสุทธิ์ หัวคะแนนของนายสมบัติ จีนาภักดิ์ เป็นคู่แข่งทางการเมือง และน้องชายของนายประมวล ในช่วงเลือกตั้ง อบต. เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 พ.ค.48 ที่หน้าบ้านเลขที่ 135 หมู่ 3 ต.บ้านใหม่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจับกุมจำเลยได้ที่ อ.เกาะช้าง จ.ตราด จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และให้การปฏิเสธในชั้นศาล อ้างสถานที่อยู่ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ
ในทางนำสืบโจทก์มี นางเข่ง ภักดีสุทธิ์ ภรรยาของนายสำราญ ผู้ตาย เบิกความเป็นประจักษ์พยานว่า ก่อนเกิดเหตุนายสำราญนอนเล่นในเปลญวนที่หน้าบ้าน จนกระทั่งมีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาถามหานายสำราญ จากนั้นคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายได้ลงจากรถ ก่อนชักปืนยิงใส่ร่างนายสำราญ ด้วยความตกใจจะวิ่งหลบหนี พร้อมๆ กับเพื่อนบ้านอีก 2 คนที่เห็นเหตุการณ์ จากนั้นได้ยิงเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมนายสมพร และจำเลยได้ จึงชี้ตัวยืนยันว่าเป็นผู้ร่วมกันยิงนายสำราญ โดยนายสมพรเป็นคนนั่งซ้อนท้าย ส่วนจำเลยเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ เห็นว่าแม้โจทก์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่จากการเบิกความของพยานที่เห็นว่าคนร้ายใส่หมวกปิดบังใบหน้า และมีหน้าคาดปากและจมูก ประกอบกับพยานตกใจวิ่งหนี โอกาสจะจดจำใบหน้าจึงมีอยู่น้อยมาก ส่วนการชี้ตัวยืนยันนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่พยานเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพแล้ว จึงไม่ใช่การจดจำใบหน้าจำเลยได้จากวันเกิดเหตุ
อย่างไรก็ตาม โจทก์มีนายสมพร จีนาภักดิ์ ญาติใกล้ชิดของนายประมวล ผู้จ้างวาน ที่ทำหน้าที่ติดตาม และขับรถให้แก่นายประมวล เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ในวันที่ 27 พ.ค.48 พยานได้ยินนายประมวลพูดว่าจะให้ตนไปยิงหัวคนหน่อย และได้พบนายประมวลพูดคุยกับจำเลย และนายสมพรที่บ้านของนายประมวล จนกระทั่งในวันเกิดเหตุนายประมวลใช้ให้พยานขับรถกระบะพาจำเลย และนายสมพรไปที่บ้านพักของนายสำราญ พบว่านายสำราญนอนเล่นอยู่บนเปลญวนหน้าบ้าน โดยขับวนไปดูนายสำราญอยู่ 2 รอบ จากนั้นพยานได้แยกไปนั่งกินดื่มที่ร้านอาหารกับนายประมวล ก่อนที่นายสมพรจะโทรศัพท์มาแจ้งว่างานเสร็จแล้ว จึงเข้าใจในทันทีว่านายสำราญต้องถูกยิงแล้ว จากนั้นนายประมวลใช้ให้ขับรถพาจำเลยและนายสมพร ไปส่งที่ จ.ราชบุรี ระหว่างทางได้ยินนายสมพรต่อว่าจำเลยว่าทำไมต้องยิงด้วย จำเลยตอบกลับว่าจะยืนอยู่เฉยๆ ได้ยังไง จึงเข้าใจว่าจำเลยและนายสมพรร่วมกันยิงนายสำราญ
เห็นได้ว่า นายสมพร จีนาภักดิ์ พยานเป็นคนใกล้ชิดกับนายประมวล ผู้จ้างวาน ให้การมีเหตุผลเป็นลำดับขั้นตอนตั้งแต่แรก ตรงกับการให้การในชั้นสอบสวน และสามารถชี้ตัวจำเลยได้อย่างถูกต้อง ประกอบกับในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ และร่วมทำแผนประกอบคำรับสารภาพ แต่ในชั้นศาลจำเลยอ้างว่าไม่ได้นำชี้ที่เกิดเหตุ อันเป็นการให้การขัดกันเองของจำเลย เชื่อว่าจำเลยการในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษประหารชีวิต ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในความครอบโครงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี และร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร จำคุก 6 เดือน ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุลดโทษให้หนึ่งในสาม ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในความครอบโครงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 8 เดือน และร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร จำคุก 4 เดือน เมื่อรวมโทษทั้งหมดแล้วให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว คำขออื่นให้ยก