พูดถึงชายหาดขึ้นชื่อของจังหวัดประจวบฯ แทบทุกคนต้องนึกถึงหาดหัวหิน แหล่งตากอากาศคลาสสิคของชาวกรุงมาทุกยุคทุกสมัย มนต์เสน่ห์หัวหินงดงามไม่เสื่อมคลายก็จริง แต่ในช่วงหน้าร้อนที่ใครๆก็ต้องการไปดับร้อนที่ชายทะเล ก็ทำให้หัวหินคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ จนอาจขาดความสงบไปสักเล็กน้อย
แต่หากนั่งรถเลยหัวหินมาอีกซักหน่อย ความสงบเงียบแต่งดงามของหาด "บ้านกรูด" ในอำเภอบางสะพาน ก็อาจทำให้ใครหลายๆคนเกิดความประทับใจได้ไม่น้อยเช่นกัน
"ตะลอนเที่ยว" ได้ยินชื่อเสียงความสงบงามของบ้านกรูดมานาน แต่เพิ่งได้มาสัมผัสอย่างใกล้ชิดก็วันนี้ โดยเราเลือกเดินทางไปเยือนบ้านกรูดโดยรถไฟ ซึ่งหากไปกับขบวนรถด่วนพิเศษหรือสปรินเตอร์ก็จะใช้เวลาราว 5 ชั่วโมง ออกเดินทางตอนเช้าก็จะมาถึงสถานีบ้านกรูดตอนบ่ายพอดี
ทริปนี้เราเลือก "คีรีวารี ซีไซด์ วิลล่า แอนด์ สปา" บูติครีสอร์ทน่ารักๆเป็นสถานที่พักผ่อน ก่อนจะออกมาสำรวจชายหาดบ้านกรูด และพบว่าความสวยงามและเงียบสงบที่ร่ำลือกันมานั้นไม่ผิดไปจากความเป็นจริง น้ำทะเลสีเขียวสดใส หาดทรายสีขาวทอดยาวไปไกลเหมาะแก่การเดินเล่นสัมผัสบรรยากาศสบายๆ ถนนเส้นเล็กๆ ที่คั่นระหว่างชายหาดและรีสอร์ทหลากหลายแห่งก็เป็นเส้นทางขี่จักรยานกินลมทะเลที่น่าเพลิดเพลินไม่น้อย และการมีถนนมาคั่นนี้ทำให้เราไม่รู้สึกว่าหาดทรายถูกครอบครองเป็นหาดส่วนตัวโดยรีสอร์ทแห่งใดแห่งหนึ่งอีกด้วย
ที่บ้านกรูดนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงามอย่าง "พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ" พระเจดีย์อลังการบนเขาธงชัยที่สามารถมองเห็นได้ไกลตั้งแต่เดินเล่นอยู่บนชายหาดบ้านกรูดนั่นแหละ พระมหาธาตุองค์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ "วัดทางสาย" ได้รับการออกแบบโดย ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี ศิลปินแห่งชาติและสถาปนิกในสำนักพระราชวัง สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 พรรษานั่นเอง
ก่อนจะขึ้นไปถึงองค์พระธาตุ นักท่องเที่ยวแทบทุกคนก็จะต้องแวะกราบ "หลวงพ่อใหญ่" หรือ "พระพุทธกิติสิริชัย" พระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ ศิลปะแบบคันธาระที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะกรีกนั่นเอง สร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงมีพระชนมายุครบ 5 รอบ พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดหน้าตักกว้างถึง 10 เมตร มองเห็นได้เด่นชัดในระยะไกลเช่นกัน และบริเวณองค์หลวงพ่อก็ยังเป็นจุดชมวิวหาดบ้านกรูดในมุมสูงที่สวยงามอีกด้วย
จากองค์หลวงพ่อใหญ่เราเดินขึ้นเขาไปอีกนิดหน่อย ก็จะถึงองค์เจดีย์ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่เจดีย์ 9 องค์ มีเจดีย์องค์ประธานอยู่ตรงกลาง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน
"ตะลอนเที่ยว" ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆภายในพระมหาธาตุเจดีย์นี้จากน้องๆมัคคุเทศก์น้อยจากโรงเรียนธงชัยวิทยา ทำให้ทราบว่าภายในนี้นั้นแบ่งเป็น 5 ชั้นด้วยกัน ชั้นล่างสุดเป็นชั้นใต้ดินเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ชั้นที่สองเป็นศาลาอเนกประสงค์ ส่วนชั้นที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นที่เราเดินขึ้นบันไดมานั้น ก็เป็นชั้นพระวิหาร ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 4 อิริยาบถประจำ 4 ทิศ และมีงานจิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับงานพระราชพิธี 12 เดือน และประเพณีท้องถิ่นของภาคต่างๆ
ส่วนบนชั้น 4 เป็นชั้นพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปปางลีลาอันสง่างามเป็นพระประธานอยู่กลางห้อง และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันประณีต โดยเฉพาะภาพที่อยู่ด้านหลังพระประธานนั้นเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์วาดได้งดงามเป็นอย่างยิ่ง และในชั้นนี้ยังมีการประดับแผ่นกระจกสีตามช่องหน้าต่าง โดยบนแผ่นกระจกสีนั้นเป็นเรื่องราวของเรื่องพระมหาชนก มีจำนวน 20 ภาพด้วยกัน สามารถเดินชมได้ตามอัธยาศัย
และด้านชั้นบนสุดหรือชั้น 5 นั้น เป็นชั้นที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปทองคำปางประจำพระชนมวารของในหลวง แต่สำหรับคนที่อยากขึ้นไปกราบสักการะนั้นก็ต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะทางวัดนั้นจะเปิดให้ขึ้นไปไหว้เพียงแค่ปีละ 3 วันเท่านั้น คือวันวิสาขบูชา วันก่อนวันวิสาขบูชา และหลังวันวิสาขบูชาเท่านั้น
มาทะเลทั้งทีก็ต้องได้สัมผัสน้ำทะเลกันหน่อย นอกจากจะเล่นน้ำกันตรงหน้าหาดบ้านกรูดแล้ว ใครที่ชอบดำน้ำแบบผิวน้ำ (Snorkeling) ก็ต้องไม่พลาดการไปดำน้ำที่ "เกาะทะลุ" เกาะใหญ่ในอำเภอบางสะพานน้อยที่อยู่ห่างจากฝั่งไป 7 กิโลเมตร และเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่สวยงามแห่งหนึ่งของฝั่งอ่าวไทย เหตุที่ได้ชื่อว่าเกาะทะลุก็เนื่องจากภูเขาทางทิศเหนือที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงนั้นมีช่องทะลุทางด้านล่างของเกาะ สามารถมองลอดไปได้ ช่องดังกล่าวนั้นเกิดจากการกัดกร่อนของคลื่นลมและกระแสน้ำ เวลาน้ำลงจะเห็นเป็นโพรงชัดเจนนั่นเอง
เรือของ "สุชาติทัวร์" เป็นคนพาเรามาดำน้ำที่เกาะทะลุ แต่ในครั้งนี้เราไม่ได้ขึ้นไปเหยียบเกาะ เพียงแค่ไปดำน้ำที่ "อ่าวกรวด" อ่าวด้านหนึ่งของเกาะทะลุ ที่เต็มไปด้วยปลาตะกรับลายที่ว่ายวนเวียนกันเป็นฝูง นักท่องเที่ยวมักเตรียมขนมเล็กๆน้อยๆ ไปฝากเจ้าปลาพวกนี้
ปะการังบริเวณอ่าวกรวดนั้นก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปะการังโขด และปะการังเขากวาง ดอกไม้ทะเลที่มีปลาการ์ตูนยื่นหน้าออกมาเยี่ยมๆมองๆ ส่วนบรรดาปลานั้นนอกจากปลาตะกรับลายที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีทั้งปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อ และอีกหลายชนิดที่ระบุชื่อไม่ได้ ส่วนอีกที่หนึ่งที่เราจะไปดำกันนั้นก็คือที่ "เกาะสิงห์" เกาะเล็กๆที่อยู่ไม่ห่างจากเกาะทะลุมากนัก ที่นี่ก็เป็นจุดดำน้ำอีกแห่งหนึ่งที่มีปะการังโขด ปะการังเขากวาง และปลานานาชนิดให้ชมเช่นกัน
และเมื่อได้เดินทางมาถึงอำเภอบางสะพานน้อยแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปเยี่ยมชม "สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร" หรือหากเอ่ยว่า "ฟาร์มบางเบิด" อาจจะคุ้นหูมากกว่า เพราะเป็นถิ่นกำเนิดของ "แตงโมบางเบิด" ซึ่ง มจ.สิทธิพร กฤดากร บิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ ได้ทรงนำแตงโมพันธุ์ทอม วัตสัน จากอเมริกามาปลูกได้ผลผลิตน้ำหนักถึง 30 กิโลกรัม จนเป็นที่ฮือฮา และทำให้คนรู้จักบางเบิดกันมากขึ้น
วันนี้ฟาร์มบางเบิดหรือสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากรอยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำหน้าที่ทดลอง ค้นคว้า ศึกษาหาวิธีทำการเกษตรที่เหมาะสมแก่พื้นที่ในภาคใต้ ซึ่งภายในสถานีฯก็มีแปลงทดลองพันธุ์พืชต่างๆ เช่นปาล์ม ข้าวโพด ยางพารา กระบองเพชรชนิดต่างๆ ฯลฯ แต่ที่ฉันมาเยี่ยมชมที่สถานีฯในวันนี้ก็เพราะอยากมาชม "พิพิธภัณฑ์หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร" ซึ่งตั้งอยู่ในตำหนักบางเบิด ตำหนักที่สร้างจำลองจากตำหนักบางเบิดเก่าอันเป็นที่ประทับของ มจ.สิทธิพร ซึ่งตอนนี้เหลือให้ชมเพียงฐานรากของอาคารเท่านั้น
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแต่งอย่างเรียบง่าย แต่มีพระประวัติของ มจ.สิทธิพรอย่างครบถ้วน ทำให้เราได้ทราบเรื่องราวชีวิตของเชื้อพระวงศ์ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในราชการ แต่กลับเลือกที่ถวายบังคมลาออกมาทำไร่ทำสวนอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญในขณะนั้น ได้ทราบเรื่องราวของชายาของพระองค์คือเจ้าศรีพรหมา ซึ่งก็มีพระประวัติน่าสนใจไม่แพ้กัน รวมไปถึงมีข้าวของส่วนพระองค์บางส่วนจัดแสดงไว้ให้ชม และมีเหรียญรางวัลแมกไซไซที่ทรงได้รับการถวายใน พ.ศ.2510 จัดแสดงไว้ด้วย
จากสถานีฯ เดินทางต่อไปอีกนิดเดียวก็จะได้ชมสิ่งมหัศจรรย์ของเมืองไทย เพราะฉะนั้นเดินทางไปต่อกันที่ "สันทรายบางเบิด" สันทรายขนาดใหญ่มหึมาที่ทอดตัวอยู่ริมชายฝั่งระหว่างอำเภอบางสะพานน้อย ของจังหวัดประจวบฯ และอำเภอปะทิว ของจังหวัดชุมพร ซึ่งถือเป็นแนวสันทรายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว
คนที่ยังไม่เคยเห็นอาจจะไม่คิดว่าแปลกตรงไหน ในเมื่ออยู่ติดทะเลก็ต้องมีเนินทรายเป็นธรรมดา แต่ขอบอกว่าที่นี่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นเนินทรายสูงกว่า 30 เมตร หรือเนินเขาขนาดย่อมๆ มีเม็ดทรายขาวละเอียดตลอดระยะทางที่ยาวถึง 10 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ เกิดขึ้นจากฝีมือของธรรมชาติมายาวนานเป็นพันปี โดยมีส่วนสำคัญจากลมที่พัดต้องแรงสม่ำเสมอต่อเนื่องยาวนาน หน้าทะเลเปิดโล่ง หาดทรายต้องมีระยะน้ำขึ้นลงกว้าง ส่วนเมล็ดทรายนั้นก็ต้องละเอียดและมีน้ำหนักเบามากพอที่จะปลิวตามแรงลมทับถมกันขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทีละเล็กทีละน้อยจนกลายเป็นเนินสันทรายขนาดมหึมาอย่างที่เห็น และบนสันทรายนี้ก็ยังมีพืชพันธุ์เฉพาะถิ่นกว่า 150 ชนิดที่หาดูได้ยาก
ใช้เวลาสัก 3 วัน 2 คืน กับการพักผ่อนบนหาดบ้านกรูด และท่องเที่ยวไปในอำเภอบางสะพาน เป็นเวลาที่กำลังดี ไม่เหนื่อยกับการเดินทางมากจนเกินไป แต่เชื่อว่าใครที่ได้มาถึงที่นี่แล้ว อาจจะคิดว่า 2 คืนยังน้อยไป ขออยู่ต่ออีกซัก 3-4 หรือ 5 คืน อันนี้ก็ตามแต่ใจ ไม่ขัดศรัทธา
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การเดินทางมายังหาดบ้านกรูด สามารถเดินทางได้โดยรถทัวร์ หรือรถไฟ หากขับรถยนต์ส่วนตัวจากหัวหินให้วิ่งมาทาง อ.ปราณบุรี ผ่าน อ.สามร้อยยอด ผ่าน อ.เมืองประจวบฯ และผ่าน อ.ทับสะแก จาก อ.ทับสะแกไป 19 ก.ม. จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านกรูด วิ่งตามถนนไปอีกประมาณ 10 ก.ม.ก็จะถึงชายหาดบ้านกรูด
"พิพิธภัณฑ์ มจ.สิทธิพร กฤดากร" เปิดให้บริการวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 08.00-17.00 น. หากต้องการเข้าชมควรแจ้งลวงหน้าที่โทร.08-1868-2022
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับที่พักน่าสนใจได้ที่ "คีรีวารี ซีไซด์ วิลล่า แอนด์ สปา" โทร.0-3269-5511 และสอบถามรายละเอียดการไปดำน้ำที่เกาะทะลุได้ที่ "สุชาติทัวร์" โทร.08-1759-4997, 0-3269-9455