โต้ลมร้อน.. สองสาวเหยื่อแชร์ลูกโซ่ ถอดเสื้อประท้วงหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด หลังไม่พอใจอัยการปล่อยผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมจนคดีล่าช้า กว่า 2 ปียังไม่ได้เงินคืน แถมถูกผู้ต้องหาฟ้องหมิ่นประมาท ขณะที่อธิบดีอัยการคดีอาญา ต้องลงมาไกล่เกลี่ยจนยอมใส่เสื้อ
วันนี้ (2 เม.ย.) เมื่อเวลา 12.00 น.ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก กลุ่มผู้เสียหายคดีแชร์ลูกโซ่ เดินทางมายืนประท้วงที่หน้าอาคารสำนักงานอัยการสูงสุด โดย นางหทยา นราภิยวัฒน์ อายุ 33 ปี และนางอังคณา ตรงดี อายุ 44 ปี ได้ถอดเสื้อจนเหลือแต่เสื้อชั้นใน เพื่อเป็นการประท้วง จนนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ต้องเข้าเจรจาพร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน เข้าดูแลความปลอดภัย
นางหทยากล่าวว่า สาเหตุที่มาประท้วงเพราะตนกับพวกรวม 55 คน เป็นผู้เสียหายในคดีที่ พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา จับกุม นายชันลอย แซ่ฉาน และนางวิไลลักษณ์ รัตนศรีเวคิน กับพวกในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน เมื่อถูกหลอกให้นำเงินไปร่วมระดมทุนธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ดำเนินกิจการขายยารักษาโรค กับบริษัท วิศวกลอินเตอร์ จำกัด และบริษัท ยูลิ อินเตอร์เทรด จำกัด ของผู้ต้องหาทั้งสอง สูญเสียเงินรวมกันจำนวน 13 ล้านบาทเศษ ซึ่งต่อมาวันที่ 23 ก.พ.2552 พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจ และทรัพยากร 3 (กรุงเทพใต้) มีความเห็นสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาทั้งสองกับพวก พร้อมทำหนังสือไปยัง พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ให้ติดตามตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องต่อศาล เนื่องจากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวเมื่อคดีเลยกำหนดครบฝากขังไปแล้ว
ต่อมาวันที่ 6 มี.ค.2552 ผู้ต้องหาทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการระดับสูงท่านหนึ่ง เพื่อขอให้มีการสอบสวนพยาน ได้แก่ผู้เสียหายทั้ง 55 คนอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังให้สอบสวนพยานฝ่ายผู้ต้องหาอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนที่อัยการจะมีความเห็นให้สอบสวนเพิ่มเติม ตนเห็นว่าคดีนี้ผู้ต้องหาถูกจับกุมมาตั้งแต่ปี 2549 ขณะนี้ยังไม่สามารถฟ้องได้ เท่ากับเป็นการประวิงเวลาของฝ่ายผู้ต้องหา ทำให้พนักงานสอบสวนต้องเริ่มสอบสวนใหม่ จึงได้เข้าไปพบกับอัยการ 27 มี.ค.2552 เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงว่าทำไม่จึงให้สอบสวนเพิ่มเติม ทั้งที่เคยมีความเห็นสั่งฟ้องแล้วแต่ได้รับคำตอบว่าสำนวนวนยังไม่สมบูรณ์ และไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ อีกทั้งที่ผ่านมาตนยังถูกผู้ต้องหาทั้งสองฟ้องเป็นจำเลยฐานหมิ่นประมาท ทุกวันนี้เครียดมาก และยังอยากได้เงินคืน รู้สึกกดดันจนต้องนัดรวมตัวกันเพื่อถอดเสื้อประท้วง
ขณะที่ นางพิชญาดา สุธีรภัทร์ อดีตพนักงานบริษัทของผู้ต้องหาทั้งสองกล่าวว่า เมื่อเดือน ก.ค.2549 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปพบตนที่บ้านพักเพื่อขอให้เบิกความเป็นพยานเพื่อจับกุมผู้ต้องหาทั้งสอง แต่หลังจับกุมผู้ต้องหาได้แล้วตนกลับถูกผู้ต้องหาทั้งสองฟ้องกลับในคดียักยอกทรัพย์และหมิ่นประมาทรวม 14 คดี เป็นเพราะพนักงานสอบสวนไม่ได้ปกปิดชื่อตนในฐานะพยานในคดีนี้ให้เป็นความลับ
ขณะที่ นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวกับกลุ่มผู้มาประท้วงว่าขอให้ใจเย็นๆ ตนขอรับประกันว่าพนักงานอัยการไม่มีทางไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในการพิจารณาสั่งคดีนั้น ขึ้นอยู่กับหลักฐานในสำนวนที่สอบสวนมาเป็นอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามนั้น ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงเริ่มผ่อนคลายลง โดยนำเสื้อกลับมาสวมใส่ตามปกติ ก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ