xs
xsm
sm
md
lg

“เทพเทือก” เน้น ตร. “อย่าปล่อยคนร้ายลอยนวล”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” กำชับให้ตำรวจเร่งปราบปรามยาสเพติดอย่างจริงจัง รวมทั้งคดีความต่างๆ อย่าปล่อยให้คนร้ายลอยนวลในคดีสำคัญ แต่เน้น ห้ามฆ่าตัดคตอนเด็ดขาด หากได้ผล จะมีรางวัลให้

วันนี้ (20 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานให้แนวทางในการประชุมรองรับนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับหัวหน้าสถานีตำรวจขึ้นไปทั่วประเทศร่วมประชุม

นายสุเทพกล่าวว่า รัฐบาลคาดหวังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 เรื่อง โดยเรื่องแรกตำรวจต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ โดยได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำบัญชีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ โดยไม่ต้องเกรงกลัวหากผู้มีอิทธิพลนั้นไปเกี่ยวข้องกับนักการเมืองท้องถิ่นหรือนักการเมืองระดับชาติ หากมีปัญหากับใครให้โทรศัพท์หาได้ และให้ดูแลลูกน้องไม่ให้เป็นผู้ร้ายหรือผู้มีอิทธิพลเสียเอง ไม่ไปอยู่เคียงข้างคนที่คุกคามประชาชน และต้องเป็นตำรวจที่รักษากฎหมายไม่ให้อะไรมาเหนือกฎหมายได้ และต้องใช้ฝีมือในการทำงานสืบสวนสอบสวนอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในความรู้สึกของประชาชน

“รัฐบาลประกาศชัดเจนให้ยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรม เคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตำรวจต้องแสดงออกให้เห็นว่าทำงานโดยเคารพสิทธิเสรีภาพ ทำคดีให้รวดเร็วโดยไม่ใช้ทางลัดหรือวิธีที่นอกกฎหมาย ตำรวจไม่ทำผิดเสียเอง ระมัดระวังการทำงานการปฏิบัติต่อประชาชน ในภาวะที่บ้านเมืองวิกฤตเช่นนี้ ประชาชนเรียกร้องหาตำรวจหวังพึ่งตำรวจ รัฐบาลเองคาดหมายให้ตำรวจเป็นตำรวจที่ดีเป็นกำลังของรัฐบาลจะช่วยให้สังคมไทยเป็นนิติรัฐที่สมบูรณ์แบบ” นายสุเทพกล่าว

นายสุเทพกล่าวต่อว่า เรื่องที่สองที่รัฐบาลคาดหวังจากตำรวจ คือเป็นตำรวจต้องจับโจรผู้ร้ายให้ได้ไม่ปล่อยให้ผู้ร้ายลอยนวล ซึ่งตรงนี้ตำรวจต้องมีเอกภาพในการทำงานทุกหน่วยต้องทำงานประสานกันเมื่อผนึกกำลังกันโจรผู้ร้ายก็หนีไม่ได้ ขณะนี้ประชาชนเป็นกังวลใจที่โจรผู้ร้ายไม่ถูกจับ ทำให้โจรผู้ร้ายได้ใจ โจรก็ชุกชุมขึ้นเรื่อยๆ ภาวะวิกฤตของโลกและของประเทศขณะนี้ทำให้อาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้น ตำรวจต้องจับผู้ร้ายให้ได้ เรื่องคดีค้างเก่าก็เช่นเดียวกัน คดีที่ประชาชนสนใจ ค้างคาใจประชาชนก็ต้องใช้ฝีมือจับให้ได้ ไม่ว่าจะคดีทนายสมชาย คดีชิปปิ้งหมู คดีพระสุพจน์ ซึ่งหากสะสางคดีแบบนี้ ก็คิดอยู่ว่าจะมีผลตอบแทนให้กับตำรวจอย่างไรได้บ้าง

“อยากให้ทุก บช. บก.และทุกสถานีตำรวจเร่งรัดสืบสวนจับกุมคดีต่างๆ ให้สถิติการจับกุมดีขึ้น ภาคใต้ก็ต้องดูแลเป็นพิเศษตัวเลขการจับกุมตอนนี้ 30 เปอร์เซ็นต์ ต้องพัฒนาให้ได้มากกว่านี้ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย” นายสุเทพกล่าว

นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องที่ 3 ตำรวจต้องมุ่งปราบปรามยาเสพติด โดยให้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ตามนโยบายของรัฐบาล แต่ให้ทำการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมายไม่มีอุ้มฆ่าหรือฆ่าตัดตอน มุ่งปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดทุกพื้นที่ที่แพร่ระบาดโดยเฉพาะเขตกรุงเทพและปริมณฑลให้เอาใจใส่เป็นพิเศษ ตำรวจทุกระดับต้องรับผิดชอบปราบยาเสพติดในทุกมิติ ทุกสถานีตำรวจประชาชนต้องรู้ว่าตำรวจคนไหนรับผิดชอบการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่

นายสุเทพกล่าวต่อว่า เรื่องที่ 4 เรื่องปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งตอนนี้น่าหนักใจ ถ้าไม่ร่วมมือกันแก้ปัญหาให้สำเร็จ ลูกหลานก็อยู่ในประเทศนี้ลำบาก ตั้งแต่อยู่ประเทศนี้มาไม่เคนเกิดเหตุการณ์แบบนี้ที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเสื้อเหลืองเสื้อแดงซึ่งแต่ละกลุ่มปลุกปั่นปลุกระดมให้ประชาชนเป็นศรัตรูกัน และมีหลายกรณีที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ย่ามใจกล่าวพาดพิงสถาบัน ตำรวจต้องปกป้องสถาบันไม่ให้ใครล่วงละเมิด และไม่ยอมให้คนที่หมิ่นสถาบันแล้วไม่ถูกดำเนินคดี สถานการณ์ขณะนี้สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมือง หากไม่มีหลักชัยหรือศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ตำรวจต้องอบรมซักซ้อมผู้ใต้บังคับบัญชาให้ภูมิใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผู้บังคับบัญชาจะต้องพูดคุยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจได้

“ของยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือใช้ให้ตำรวจทำในสิ่งที่ผิด แต่ให้ตำรวจเป็นเครื่องมือของประเทศชาติและประชาชน และฝากอนาคตของลูกหลานไทยให้เป็นภาระของตำรวจด้วย และหากใครมีปัญหาอะไรตำรวจทุกนายสามารถโทรหาผมได้ทันที” นายสุเทพกล่าว

ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.กล่าวให้นโยบายเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 ข้อ คือ 1.ให้ข้าราชการตำรวจทุกคนช่วยกันทำงาน ตามที่ประชาชนคาดหวัง 2.ให้ผู้บังคับบัญชาดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งเรื่องทุกข์ สุข หน้าที่ภาระงานต่างๆ รวมทั้งให้ควบคุมภาพพจน์ของตำรวจด้วย เพราะถ้าเราไม่ควบคุมภาพพจน์ก็จะลดลง3.ขอร้องไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด พยายามลดให้ได้ ถ้ามีบ้างก็ให้น้อยที่สุดต้องช่วยกันดูแล และเรื่องสุดท้ายให้ทำตามกฎก.ตร.ว่าด้วยจริยธรรมและจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ด้าน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า จากการข่าวของทางทหารและตำรวจตระเวนชายแดนพบว่าการลำเลียงยาเสพติดจากแนวชายแดนเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นกองคาราวาน เปลี่ยนมาใช้กำลังคน 3-4 คน ขนเข้ามาหลักหมื่นเม็ด อาวุธก็เปลี่ยนเป็นระเบิดมือและปืนพกสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ทำให้ตำรวจต้องร่วมกับทางทหารปรับแผนการทำงานใหม่เพื่อสะกัดกั้นเส้นทางการลำเลียง นอกจากนั้นหัวหน้าสถานีตำรวจจะต้องทำบัญชีผู้ค้ายาพร้อมกับยานพาหนะที่ใช้ในการขนเพื่อให้ข้อมูลสามารถนำมาตรวจสอบเชื่อมโยงกับกล้องที่เพิ่งนำมาใช้ตรวจ ที่สำคัญผู้บังคับบัญชาโดยเฉพาะรองผบช.ในพื้นที่ต้องลงมาทำงานเองร่วมกับผู้ปฏิบัติการทำงานด้านยาเสพติดจะได้มีความชัดเจนขึ้น

ด้าน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร.กล่าวว่า การปราบปรามยาเสพติตำรวจจะต้องประสานกับทางเรือนจำเพื่อดูเส้นทางยาเสพติดในเรืนจำ จะต้องสร้างชุมชนเข้มแข็งในทุกพื้นที่ การทำคดีจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบพยานหลักฐานชัดเจนแน่นหนาเพื่อไม่ให้ยกฟ้องในชั้นศาล และสุดท้ายจะต้องคาดโทษพื้นที่ที่มีการปล่อยให้ยาเสพติดระบาดรุนแรง
กำลังโหลดความคิดเห็น