เกิดเพลิงไหม้ซ้ำสำนักปฏิบัติธรรม มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ จุดเกิดเหตุห่างจากกุฎิพระกิตติศักดิ์เพียง 200 เมตร ลูกไฟลุกสูง 15 เมตร เสียหายแนวกว้าง 100 เมตร คาดคนเผาต้องการคุกคามสร้างสถานการณ์รุนแรงต่อเนื่อง ให้กลัวแล้วผู้อาศัยจะได้เผ่นหนีออกนอกพื้นที่ ขณะที่ “พระกิตติศักดิ์” มั่นใจพูดความจริงเรื่องฆ่าพระสุพจน์ชนวนเหตุลอบวางเพลิง ยันเดินหน้าแฉความจริงต่อไป แม้ความหวังควานหาตัวคนอยู่เบื้องหลังเลือนลาง
วันนี้ (5 มี.ค.) พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์เดียวกับพระสุพจน์ สุวโจ พระนักอนุรักษ์ สวนป่าเมตตาธรรม จ.เชียงใหม่ ที่ถูกฆ่าอย่างมีเงื่อนงำ เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (4 มี.ค.) เวลาประมาณ 19.00 น.ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้สถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม และมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ขึ้นอีก โดยจุดที่เพลิงไหม้ห่างจากกุฎิตนประมาณ 200 เมตร ซึ่งบริเวณที่ไฟไหม้เป็นวงกว้าง 100 เมตร ยาว 400 เมตร ส่งผลให้ป่าธรรมชาติ ซึ่งเป็นป่าไม้เบญพรรณได้รับความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งพื้นที่ที่เกิดเพลิงไหม้เป็นสภาพภูเขาเล็กๆ ไฟเริ่มลุกลามจากเนินเขา โดยเกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุดแล้วขยายวงกว้างลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบริเวณดังกล่าวจะมีใบไม้แห้งเป็นเชื้อเพลิงจำนวนมาก ประกอบกับมีกอไผ่เยอะจึงทำให้ลูกไฟลุกท่วมสูง 10 เมตร 15 เมตร
อย่างไรก็ตาม ก่อนไฟลุกไหม้มีชาวบ้านที่อาศัยละแวกใกล้เคียงกับมูลนิธิฯ มองเห็นกลุ่มควันไฟหนาแน่นบริเวณเนินเขาก่อนลุกลามไปทั่วพื้นที่ ซึ่งในพื้นที่ที่เกิดไฟไหม้ทางมูลนิธิฯ ได้ทำแนวกันไฟไว้เช่นกัน คาดว่าคนลอบวางเพลิงได้ข้ามแนวกันไฟเข้ามาจุดไฟเผาเป็นจุดๆ ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฝาง ในเวลาประมาณ 19.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสาน อบต.สันทราย และเขตใกล้เคียงนำรถดับเพลิงมาช่วยสกัดไฟ แต่ก็ทำได้ไม่ทั่วถึงเนื่องจากพื้นที่เกิดไฟไหม้รถดับเพลิงไม่สามารถขึ้นไปบนภูเขาได้ เนื่องจากไฟไหม้ตามแนวสันเขาที่เป็นแนวเขตแดนระหว่างสถานปฏิบัติธรรมกับสวนส้ม
พระกิตติศักดิ์ กล่าวย้ำว่า แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักลอบจุดไฟเผาสำนักปฏิบัติธรรม ทางมูลนิธิฯ ทำได้เพียงสร้างแนวกันไฟ และเฝ้าดูระมัดระวังเท่านั้น หากจะทำมากกว่านั้นคงทำได้ยากลำบากเพราะไม่มีกำลังคน ประกอบกับคนจ้องจะจุดไฟเผาอยู่ในที่มืดจะเข้ามาทำกันเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้ ซึ่งตนประเมินจากเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ประกอบกัน ยังมีความหวังว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับคนก่อเหตุได้ แต่คงไม่ถึงผุ้จ้างวานเพราะคงยากที่จะสาวถึง
“การลอบจุดไฟเผาบ่อยครั้งตนมองว่าเป็นการคุกคามทำให้เกรงกลัวซึ่งจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือต้องการขับไล่ไม่ให้มีคนอาศัยอยู่ทำเพื่อให้คนหนีออกนอกพื้นที่ ที่ผ่านมานักข่าวท้องถิ่นเคยพูดกับตนว่าถ้าให้สัมภาษณ์แบบนี้งานเข้าแน่ แต่ตนก็ยังยืนยันว่าก็ในเมื่อเราพูดความจริง จะให้พูดเท็จได้อย่างไร ซึ่งพวกที่ลอบเผาหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลได้ส่งสัญญาณว่าจะแรงขึ้น หลังจากนี้จะเป็นไง ตนห่วงแต่คนทำงานในพื้นที่ จะเกิดอันตรายกับคนงานและชาวบ้านหรือเปล่า ระมัดระวังยากเพราะเราอยู่ในที่โล่ง แต่เค้าอยู่ในที่มืด” พระกิตติศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมาก็เกิดเหตุลอบวางเพลิงเผาสวนป่าเมตตาธรรม เสียหายประมาณกว่า 200 ไร่ ในพื้นที่ ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มาแล้วหนึ่งครั้ง มีต้นไม้ที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เสียหายกว่า 1,500,000 บาท แต่ยังไม่มีใครเสียชีวิต ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่คนร้ายยังกล้าก่อเหตุซ้ำ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ตัวคนร้าย อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งหลังจากรัฐบาลได้รื้อฟื้นคดีฆ่าพระสุพจน์ที่เงียบหายมาประมาณ 4 ปี ทางสำนักปฏิบัติธรรมเมตตาธรรมก็เกิดเพลิงไหม้มาแล้ว 2 ครั้ง
วันนี้ (5 มี.ค.) พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์เดียวกับพระสุพจน์ สุวโจ พระนักอนุรักษ์ สวนป่าเมตตาธรรม จ.เชียงใหม่ ที่ถูกฆ่าอย่างมีเงื่อนงำ เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (4 มี.ค.) เวลาประมาณ 19.00 น.ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้สถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม และมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ขึ้นอีก โดยจุดที่เพลิงไหม้ห่างจากกุฎิตนประมาณ 200 เมตร ซึ่งบริเวณที่ไฟไหม้เป็นวงกว้าง 100 เมตร ยาว 400 เมตร ส่งผลให้ป่าธรรมชาติ ซึ่งเป็นป่าไม้เบญพรรณได้รับความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งพื้นที่ที่เกิดเพลิงไหม้เป็นสภาพภูเขาเล็กๆ ไฟเริ่มลุกลามจากเนินเขา โดยเกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุดแล้วขยายวงกว้างลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบริเวณดังกล่าวจะมีใบไม้แห้งเป็นเชื้อเพลิงจำนวนมาก ประกอบกับมีกอไผ่เยอะจึงทำให้ลูกไฟลุกท่วมสูง 10 เมตร 15 เมตร
อย่างไรก็ตาม ก่อนไฟลุกไหม้มีชาวบ้านที่อาศัยละแวกใกล้เคียงกับมูลนิธิฯ มองเห็นกลุ่มควันไฟหนาแน่นบริเวณเนินเขาก่อนลุกลามไปทั่วพื้นที่ ซึ่งในพื้นที่ที่เกิดไฟไหม้ทางมูลนิธิฯ ได้ทำแนวกันไฟไว้เช่นกัน คาดว่าคนลอบวางเพลิงได้ข้ามแนวกันไฟเข้ามาจุดไฟเผาเป็นจุดๆ ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฝาง ในเวลาประมาณ 19.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสาน อบต.สันทราย และเขตใกล้เคียงนำรถดับเพลิงมาช่วยสกัดไฟ แต่ก็ทำได้ไม่ทั่วถึงเนื่องจากพื้นที่เกิดไฟไหม้รถดับเพลิงไม่สามารถขึ้นไปบนภูเขาได้ เนื่องจากไฟไหม้ตามแนวสันเขาที่เป็นแนวเขตแดนระหว่างสถานปฏิบัติธรรมกับสวนส้ม
พระกิตติศักดิ์ กล่าวย้ำว่า แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักลอบจุดไฟเผาสำนักปฏิบัติธรรม ทางมูลนิธิฯ ทำได้เพียงสร้างแนวกันไฟ และเฝ้าดูระมัดระวังเท่านั้น หากจะทำมากกว่านั้นคงทำได้ยากลำบากเพราะไม่มีกำลังคน ประกอบกับคนจ้องจะจุดไฟเผาอยู่ในที่มืดจะเข้ามาทำกันเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้ ซึ่งตนประเมินจากเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ประกอบกัน ยังมีความหวังว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับคนก่อเหตุได้ แต่คงไม่ถึงผุ้จ้างวานเพราะคงยากที่จะสาวถึง
“การลอบจุดไฟเผาบ่อยครั้งตนมองว่าเป็นการคุกคามทำให้เกรงกลัวซึ่งจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือต้องการขับไล่ไม่ให้มีคนอาศัยอยู่ทำเพื่อให้คนหนีออกนอกพื้นที่ ที่ผ่านมานักข่าวท้องถิ่นเคยพูดกับตนว่าถ้าให้สัมภาษณ์แบบนี้งานเข้าแน่ แต่ตนก็ยังยืนยันว่าก็ในเมื่อเราพูดความจริง จะให้พูดเท็จได้อย่างไร ซึ่งพวกที่ลอบเผาหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลได้ส่งสัญญาณว่าจะแรงขึ้น หลังจากนี้จะเป็นไง ตนห่วงแต่คนทำงานในพื้นที่ จะเกิดอันตรายกับคนงานและชาวบ้านหรือเปล่า ระมัดระวังยากเพราะเราอยู่ในที่โล่ง แต่เค้าอยู่ในที่มืด” พระกิตติศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมาก็เกิดเหตุลอบวางเพลิงเผาสวนป่าเมตตาธรรม เสียหายประมาณกว่า 200 ไร่ ในพื้นที่ ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มาแล้วหนึ่งครั้ง มีต้นไม้ที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เสียหายกว่า 1,500,000 บาท แต่ยังไม่มีใครเสียชีวิต ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่คนร้ายยังกล้าก่อเหตุซ้ำ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ตัวคนร้าย อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งหลังจากรัฐบาลได้รื้อฟื้นคดีฆ่าพระสุพจน์ที่เงียบหายมาประมาณ 4 ปี ทางสำนักปฏิบัติธรรมเมตตาธรรมก็เกิดเพลิงไหม้มาแล้ว 2 ครั้ง
