xs
xsm
sm
md
lg

ม่าต๋าไต้หวันประสานกองปราบทลายแก๊งตุ๋นคืนภาษีข้ามชาติ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

แก๊งผู้ต้องหาทั้งชาวไทย และชาวไต้หวันที่ถูกจับกุมได้
ตำรวจสากลของไต้หวันประจำประเทศไทย เข้าพบรอง ผบก.ป.เพื่อประสานข้อมูลในการติดตามทลายแก๊ง “คอลเซ็นเตอร์” ที่หลอกลวงประชาชนด้วยวิธีการโทรศัพท์ตุ๋นเหยื่อคืนเงินภาษีทางเอทีเอ็ม แต่สุดท้ายกลับกดเงินเกลี้ยงบัญชี เผย มีเหยื่อทยอยเข้าแจ้งความที่กองปราบปรามอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บางรายสูญเงินร่วมล้านบาท ด้าน ตำรวจชนะสงคราม หิ้วผู้ต้องหาที่จับกุมได้ไปฝากขังศาลแล้ว พร้อมคัดค้านการประกันตัว

วันนี้ (3 มี.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก.กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีตำรวจกองปราบปรามบุกรวบแก๊ง “คอลเซ็นเตอร์” ชาวไต้หวันโทร.ตุ๋นคืนเงินภาษีทางตู้เอทีเอ็ม ว่า ขณะนี้มีประชาชนเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก ซึ่งคำให้การของผู้เสียหายทุกรายเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมองเห็นเครือข่ายของขบวนการต้มตุ๋นแก๊งนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.ก.ลงไปควบคุมคดี และให้ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาท รอง ผบก.ป.หัวหน้าทีมสืบสวนสอบสวนรายงานความคืบหน้าเข้ามาที่ บช.ก.ทุกระยะ จนกว่าจะสามารถขยายผลไปสู่ฐานการกระทำความผิดในต่างประเทศได้

เชื่ออาจเป็นแก๊งที่เคยถูกจับในจีน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวทางการสืบสวนของตำรวจกองปราบปราม เชื่อว่า กลุ่มคนร้ายในระดับหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากประเทศไต้หวัน อาจเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ตำรวจจีน และตำรวจไทย นำโดย พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.6 บก.รน. ร.ต.อ.สุทธิชัย เทียนโพธิ์ สว.กลุ่มงานสอบสวน บก.ป.ได้ร่วมกันทลาย สำนักงานคอลเซ็นเตอร์ ไม่มีชื่อภายในอาคารโย่ว หยี ต้า ซ่า เมืองซัวเถา สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมจับกุมชาวไต้หวัน จีน เกาหลี และมาเลเซีย ขณะกำลังต่อสายโทรศัพท์มายังประเทศไทย และอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม ซึ่งในกรณีดังกล่าวกลุ่มคนร้ายได้ใช้พฤติกรรมในลักษณะเดียวกันนี้ หลอกลวงเหยื่อมานานกว่า 8 ปี มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อนับหมื่นราย และทำรายได้ให้กับหัวหน้าแก๊งนี้เป็นเงินมหาศาล

ตำรวจไต้หวันพบ ป.ประสานข้อมูล
วันเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปราม นาย เจย์ ลี (MR. JAY LI) ตำรวจสากลไต้หวันประจำประเทศไทย (อินเตอร์โปล) พร้อมเลขาได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองผบก.ป. พ.ต.ท.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผผก.2 บก.ป.เพื่อประสานข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งอาชญากรข้ามชาติชาวไต้หวันที่มีคนไทยรวมอยู่ด้วย โดยใช้กลวิธีหลอกเหยื่อ ว่า เป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรจะคืนเงินภาษีให้กับผู้เสียหายผ่านระบบเอทีเอ็ม แต่กลับหลอกให้กดโอนเงินไปให้ โดยได้มีการพูดคุยกันประมาณ 1 ชม.

ต่อมา พ.ต.อ.สุพิศาล เปิดเผยว่า ทางกองปราบปรามได้ประสานข้อมูลกับทางตำรวจสากลไต้หวันประจำประเทศไทย เพื่อให้ช่วยตรวจสอบการทำงานของแก๊งอาชญากรชาวไต้หวันกลุ่มนี้ว่ามีวิธีการอย่างไร รวมถึงเส้นทางของเงินที่มีการเข้าออกของแก๊งอาชญากรกลุ่มนี้ โดยทางอินเตอร์โปลได้ให้ความสนใจในการจับกุมผู้ต้องหากลุ่มนี้ของทางกองปราบปราม

“ทางตำรวจสากลไต้หวันได้ประสานขอข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่ทางตำรวจกองปราบปรามตรวจสอบ พบว่าเป็นเบอร์ที่โทร.มาจากประเทศไต้หวันเพื่อเอาไปตรวจสอบหาที่ตั้งของแก๊งอาชญากรกลุ่มนี้ รวมถึงว่า มีการติดต่อเชื่อมโยงกับใครบ้าง พร้อมทั้งได้ให้คำแนะนำในการสืบสวนหาตัวคนร้ายชาวไต้หวันรายอื่นๆ ที่คาดว่า อาจยังหลงเหลืออยู่ในเมืองไทย” รอง ผบก.ป.กล่าว

สั่งอายัด 44 บัญชี พันแก๊งคอลเซ็นเตอร์
พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าวต่อว่า สำหรับผู้เสียหายในขณะนี้ ได้ทยอยเดินทางมาให้ข้อมูลพร้อมกับขอตรวจสอบบัญชีกับทางกองปราบปรามว่าตรงกับที่ทางผู้เสียหายโอนไปให้กับแก๊งดังกล่าวหรือไม่ โดยในขณะนี้ทางกองปราบปรามได้ทำการยึดหมายเลขบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหามาได้รวมทั้งหมด 44 บัญชี ซึ่งหลักฐานที่ตรวจยึดมาได้รวมถึงหมายเลขบัญชีทั้งหมดจะเร่งส่งไปให้ทาง สน.ชนะสงคราม นำไปตรวจสอบเพื่อขออายัดเงินในบัญชีต่อไป เนื่องจากสามารถตรวจยึดบัญชีทั้งหมดได้ในพื้นที่ สน.ชนะสงคราม ซึ่งถ้าหากมีผู้เสียหายรายใดพบว่า ได้โอนเงินจากบัญชีตัวเองไปยังบัญชีปลายทางของกลุ่มผู้ต้องหาภายใน 44 บัญชีนี้ ทางตำรวจก็จะทำการอายัดเงินในบัญชีนั้นๆเพื่อขอคืนให้กับผู้เสียหาย แต่เท่าที่พบขณะนี้ใน 44 บัญชีที่ตรวจยึดมาได้พบว่าเงินที่มีการโอนเข้ามาได้ถูกกลุ่มคนร้ายกดเงินออกไปหมดเกือบทุกบัญชีแล้ว และภายใน 44 บัญชีที่มีการยึดมาพบว่า ยังไม่ตรงกับคดีที่สน.บุคคโลที่แพทย์หญิงเคยโอนไปให้กับกลุ่มคนร้ายกว่าสองแสนบาท

เผยเหยื่อบางรายถูกตุ๋นสูญเงินร่วมล้าน
รอง ผบก.ป.กล่าวอีกว่า ในส่วนผู้ต้องหาทั้ง 4 รายที่แยกกันส่งตัวไปดำเนินคดีในท้องที่สน.ปทุมวันและสน.ชนะสงคราม ทราบว่าทางตำรวจท้องที่ได้นำตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลอาญาแล้ว โดยมีการคัดค้านการให้ประกันตัว และในส่วนความคืบหน้าในการติดตามตัวผู้ร่วมขบวนการล่าสุดทางตำรวจได้พบผู้ต้องหาเพิ่มเติมเป็นหญิงชาวไทยอายุประมาณ50ปี ที่มีหน้าที่คอยกว้านซื้อสำเนาบัตรประชาชนของชาวบ้านในราคารายละ 500 บาท เพื่อนำสำเนาดังกล่าวไปใช้เปิดบัญชีให้กับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งทางกองปราบปรามกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหารายนี้ นอกจากนี้ ยังได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองให้ช่วยตรวจสอบว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้นั้นเดินทางเข้ามากับใคร อย่างไรบ้างเพื่อขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการรายอื่นที่ยังหลงเหลือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการเข้าให้ข้อมูลของกลุ่มผู้เสียหายจากคดีดังกล่าว ยังมีประชาชนที่ถูกกลุ่มดังกล่าวตุ๋นเงินเดินทางเข้ามาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนคดี โดยในวันนี้ยังมีผู้เสียหายอีกหลายหลายอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่ ครู อาจารย์ที่โดนแก๊งมิจฉาชีพประเภทนี้หลอกเงินไปกว่า 3 หมื่นบาท ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มผู้เสียหายต่างๆมีการถูกหลอกให้โอนไปต่ำสุดหลักพันบาทและบางรายสูงสุดถึงเกือบล้านบาท ในส่วนของขั้นตอนการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่นั้น พนักงานสอบสวนจะสอบปากคำเหตุการณ์และตรวจสอบเลขบัญชีคนร้ายว่าตรงกับที่ตรวจยึดมาหรือไม่ หากว่าตรงกันทางพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งเรื่องไปยัง สน.ท้องที่ที่ผู้เสียหายเคยแจ้งความไว้แล้วเพื่อให้ทางตำรวจท้องที่ไปทำการอายัดตัวผู้ต้องหาไว้ดำเนินคดีต่อไป

หิ้วแก๊งไต้หวันฝากขัง-ค้านประกัน
ขณะเดียวกัน ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม นำตัวนายเชน เช็ง ฮวน หรือ อาหมิง อายุ 30 ปี นายเช็ง ซี หมิง หรือ ป้านซ่าย อายุ 22 ปี ทั้งสองเป็นชาวไต้หวัน และ นายสุรพงศ์ แซ่หู อายุ 32 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ 3 ผู้ต้องหาคดีโกงบัตรอิเลกทรอนิกส์ การรับคืนเงินภาษี มายื่นคำร้องฝากขังเป็นเวลา 12 วัน จนถึงวันที่ 14 มี.ค.เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานอีก 4 ปาก รอผลการตรวจประวัติผู้ต้องหา รอผลรอยพิมพ์นิ้วมือ และอื่นๆ

คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่าเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2552 เจ้าหน้าที่ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สายป้องกันการทุจริตบัตรเอทีเอ็มของธนาคารต่างๆ กระทั่ง เจ้าหน้าที่สายงานฯ แจ้งว่ามีผู้ต้องสงสัยกำลังทดลองใช้บัตรเอทีเอ็ม จึงนำกำลังเข้าจับกุมได้ พร้อมของกลางหลายรายการ

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาจะโทรศัพท์หลอกลวงว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะโอนเงินภาษีเงินได้คืนเข้าบัญชีของผู้เสียหาย แล้วหลอกให้ผู้เสียหายไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มตามที่บอกขั้นตอนให้เมื่อหลงเชื่อแล้วก็โอนเงินเข้บัญชี จากนั้นผู้ต้องหาก็นำบัตรเอทีเอ็มไปกดถอนเงินดังกล่าว ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากเกรงจะหลบหนี และเกรงจะไปข่มขู่พยาน

ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
กำลังโหลดความคิดเห็น