หลายคนกำลังจับตาการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวันนี้ หลังมีกระแสข่าวลือกระทรวงยุติธรรมจะเสนอวาระจรเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในสังกัด และหากไม่มีพลิกผัน ตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง นั่งอยู่ ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล โดยที่ข่าวแจ้งว่า กระทรวงยุติธรรม เตรียมนำเสนอให้ย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง แล้วโยก นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ จากรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งกำกับดูแลดีเอสไอ มาเป็นอธิบดีดีเอสไอคนใหม่แทน
นอกจากนั้น กระทรวงยุติธรรมยังเสนอย้าย น.ส.กัญญานุช สอทิพย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งย้าย พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ให้มาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง เพื่อสลับให้นายภิญโญ ทองชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปเป็นเลขาธิการ ป.ป.ส.แทน
จากข่าวร้อนใน “ดีเอสไอ” ถึงแม้บุคคลสำคัญในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น“นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาให้สัมภาษณ์ว่าในการประชุม คณะรัฐมนตรีในวันนี้ ยังไม่มีการบรรจุเรื่องดังกล่าวในการประชุมก็ตามที... แต่สำหรับการพิจารณาโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอในระลอกนี้ถือว่าไม่ธรรมดา และเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเป็นจริง!
กล่าวคือ... ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน แหล่งข่าวระดับสูงได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าห้องนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ภายหลังจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีดีเอสไอ บุคคลที่รับผิดชอบการตรวจสอบกรณีเงิน 250 ล้านบาท และถูกกล่าวหาว่าน่าจะเป็นผู้ที่นำข้อมูลไปให้กับ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรีและฝ่ายค้าน ได้เข้าพูดคุยกับเจ้ากระทรวง
โดยเรื่องราวเกิดขึ้นดังนี้....“เมื่อ พ.ต.อ.สุชาติ ได้พบกับผู้สื่อข่าว (ที่เขาคิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม) ก็ได้จับแขนมาพูดคุย โดยแจ้งให้ พ.ต.อ.ทวี ทราบว่า นี้ไงผู้สื่อข่าว (ที่เขาคิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม) พร้อมกับถามว่าทำไมจึงเล่นข่าวแรงจัง และขอให้เล่นเบาๆ หน่อย พร้อมกับพูดทิ้งท้ายว่า ไม่ต้องห่วง นายทวี ไปแน่”
ด้วยจากความบังเอิญ หรือความตั้งใจที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวถึงกับอึ้งและไม่คิดว่า พ.ต.อ.สุชาติ จะพูดในเชิงทีเล่นทีจริง แต่สำหรับประโยคสุดท้าย ที่เขาบอกว่า ไม่ต้องห่วง นายทวี ไปแน่” นั้น น่าจะเป็นประเด็นที่จะนำมาตีแผ่ว่า พ.ต.อ.สุชาติ ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับ พ.ต.อ.ทวี มากที่สุดเขาได้รับรู้ และฟันธงว่าไม่นาน หรือเร็วๆ นี้นายทวีถูกย้ายแน่นอน...
ส่วนสาเหตุข่าวลือ ข่าวจริง โยกย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” พ้นดีเอสไอ ในระลอกนี้ที่สื่อหลายสำนักต่างเชื่อกันว่าน่าจะมาจากปมร้อน “คดีไซฟ่อนเงิน 250 ล้าน” ที่พลพรรคประชาธิปัตย์ถูกโยงให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และประเด็น“คดีซานติก้าผับ” หลังจากคณะกรรมการคดีพิเศษ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ครั้งที่ผ่านมา บอร์ด กพค.ไม่รับโอนคดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับ และความผิดเกี่ยวเนื่องเป็นคดีพิเศษ โดยมีคะแนนสนับสนุนให้โอนคดีเพียง 7 เสียง จากกรรมการทั้งสิ้น 22 เสียง ทำให้ดีเอสไอไม่สามารถดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเว้นไม่จัดเก็บภาษีจากซานติก้าผับ รวมทั้งส่งผลให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการทั้งในส่วนการจัดเก็บภาษี การอนุมัติแบบก่อสร้าง และการตรวจสอบสถานบันเทิงของตำรวจในท้องที่ได้
ประกอบกับ เมื่อบวกเข้ากับผลงานในอดีตของ พ.ต.อ.ทวี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ได้ปฏิบัติงานสนองฝ่ายการเมืองมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็น “คดีจัดซื้อเรือและรถดับเพลิงของ กทม., คดีการขายสินทรัพย์โดยมิชอบของ กองทุนปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่เรื่องเกิดขึ้นในสมัยที่ นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีเอสไอ ทำคดีเข้าข่ายต้องสงสัยว่ากลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม”
ขณะที่คดีจากขั้วอำนาจเก่าโดยเฉพาะ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร” นายใหญ่และนายหญิง มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสแสท จำกัด (มหาชน)นั้นเห็นได้ชัดเจนว่าการทำสำนวนคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จนสุดท้าย อัยการสั่งไม่ฟ้อง
อย่างไรก็ตาม สำหรับหน่วยงานดีเอสไอ ไม่ใช่ว่าย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” แล้ว บุคคลที่ยังคงอยู่จะสนองนโยบายของรัฐบาลนี้ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่! เนื่องจากบุคคลที่นั่งตำแหน่งหลัก ส่วนใหญ่ เป็นคนสนิทของขั้วอำนาจเก่า รวมทั้งมีความสนิทกับ พ.ต.อ.ทวี แทบทั้งสิ้น....
กล่าวคือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.รุ่น 37 รุ่นเดียวกันกับ “พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ” รองอธิบดีดีเอสไอ ขณะที่ “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย” รองอธิบดีดีเอสไอ ยังเป็นรุ่นน้อง นรต. 39 และเคยเป็นอดีตนายเวร ของ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ส่วน “พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์” รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นนักเรียน นรต. 36 เคยเป็นนายตำรวจคนสนิท ของ พล.ต.อ.สวัสดิ์ เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส่วนระดับผบ.สำนักต่างๆ มีเพียง พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา คนเดียวที่เรียน นรต. รุ่น 34 ส่วนผู้บัญชาการคนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นตำรวจมาด้วยกัน โดย พ.ต.อ.มานิต ธนะสันติ ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคาร เคยทำงานร่วมกับ พ.ต.อ.ประเวศน์ และพ.ต.อ.สุชาติ สมัยอยู่กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยเป็นทีมพนักงานในคดีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ส่วน พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ และ พ.ต.อ.พินิจ โชติกอาภา ผบ.สำนักคดีภาษีอากร ไม่ได้เรียนนรต. แต่เป็นสายตำรวจ ซึ่งมาร่วมงานกันตอนที่อยู่ดีเอสไอ ด้วยกัน
ดังนั้น จากปมเหตุข้างต้น...จึงน่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ข่าวย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” น่าจะเป็นความจริง....
นอกจากนั้น กระทรวงยุติธรรมยังเสนอย้าย น.ส.กัญญานุช สอทิพย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งย้าย พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ให้มาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง เพื่อสลับให้นายภิญโญ ทองชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปเป็นเลขาธิการ ป.ป.ส.แทน
จากข่าวร้อนใน “ดีเอสไอ” ถึงแม้บุคคลสำคัญในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น“นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาให้สัมภาษณ์ว่าในการประชุม คณะรัฐมนตรีในวันนี้ ยังไม่มีการบรรจุเรื่องดังกล่าวในการประชุมก็ตามที... แต่สำหรับการพิจารณาโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอในระลอกนี้ถือว่าไม่ธรรมดา และเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเป็นจริง!
กล่าวคือ... ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน แหล่งข่าวระดับสูงได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าห้องนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ภายหลังจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีดีเอสไอ บุคคลที่รับผิดชอบการตรวจสอบกรณีเงิน 250 ล้านบาท และถูกกล่าวหาว่าน่าจะเป็นผู้ที่นำข้อมูลไปให้กับ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรีและฝ่ายค้าน ได้เข้าพูดคุยกับเจ้ากระทรวง
โดยเรื่องราวเกิดขึ้นดังนี้....“เมื่อ พ.ต.อ.สุชาติ ได้พบกับผู้สื่อข่าว (ที่เขาคิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม) ก็ได้จับแขนมาพูดคุย โดยแจ้งให้ พ.ต.อ.ทวี ทราบว่า นี้ไงผู้สื่อข่าว (ที่เขาคิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม) พร้อมกับถามว่าทำไมจึงเล่นข่าวแรงจัง และขอให้เล่นเบาๆ หน่อย พร้อมกับพูดทิ้งท้ายว่า ไม่ต้องห่วง นายทวี ไปแน่”
ด้วยจากความบังเอิญ หรือความตั้งใจที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวถึงกับอึ้งและไม่คิดว่า พ.ต.อ.สุชาติ จะพูดในเชิงทีเล่นทีจริง แต่สำหรับประโยคสุดท้าย ที่เขาบอกว่า ไม่ต้องห่วง นายทวี ไปแน่” นั้น น่าจะเป็นประเด็นที่จะนำมาตีแผ่ว่า พ.ต.อ.สุชาติ ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับ พ.ต.อ.ทวี มากที่สุดเขาได้รับรู้ และฟันธงว่าไม่นาน หรือเร็วๆ นี้นายทวีถูกย้ายแน่นอน...
ส่วนสาเหตุข่าวลือ ข่าวจริง โยกย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” พ้นดีเอสไอ ในระลอกนี้ที่สื่อหลายสำนักต่างเชื่อกันว่าน่าจะมาจากปมร้อน “คดีไซฟ่อนเงิน 250 ล้าน” ที่พลพรรคประชาธิปัตย์ถูกโยงให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และประเด็น“คดีซานติก้าผับ” หลังจากคณะกรรมการคดีพิเศษ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ครั้งที่ผ่านมา บอร์ด กพค.ไม่รับโอนคดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับ และความผิดเกี่ยวเนื่องเป็นคดีพิเศษ โดยมีคะแนนสนับสนุนให้โอนคดีเพียง 7 เสียง จากกรรมการทั้งสิ้น 22 เสียง ทำให้ดีเอสไอไม่สามารถดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเว้นไม่จัดเก็บภาษีจากซานติก้าผับ รวมทั้งส่งผลให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการทั้งในส่วนการจัดเก็บภาษี การอนุมัติแบบก่อสร้าง และการตรวจสอบสถานบันเทิงของตำรวจในท้องที่ได้
ประกอบกับ เมื่อบวกเข้ากับผลงานในอดีตของ พ.ต.อ.ทวี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ได้ปฏิบัติงานสนองฝ่ายการเมืองมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็น “คดีจัดซื้อเรือและรถดับเพลิงของ กทม., คดีการขายสินทรัพย์โดยมิชอบของ กองทุนปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่เรื่องเกิดขึ้นในสมัยที่ นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีเอสไอ ทำคดีเข้าข่ายต้องสงสัยว่ากลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม”
ขณะที่คดีจากขั้วอำนาจเก่าโดยเฉพาะ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร” นายใหญ่และนายหญิง มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสแสท จำกัด (มหาชน)นั้นเห็นได้ชัดเจนว่าการทำสำนวนคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จนสุดท้าย อัยการสั่งไม่ฟ้อง
อย่างไรก็ตาม สำหรับหน่วยงานดีเอสไอ ไม่ใช่ว่าย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” แล้ว บุคคลที่ยังคงอยู่จะสนองนโยบายของรัฐบาลนี้ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่! เนื่องจากบุคคลที่นั่งตำแหน่งหลัก ส่วนใหญ่ เป็นคนสนิทของขั้วอำนาจเก่า รวมทั้งมีความสนิทกับ พ.ต.อ.ทวี แทบทั้งสิ้น....
กล่าวคือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.รุ่น 37 รุ่นเดียวกันกับ “พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ” รองอธิบดีดีเอสไอ ขณะที่ “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย” รองอธิบดีดีเอสไอ ยังเป็นรุ่นน้อง นรต. 39 และเคยเป็นอดีตนายเวร ของ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ส่วน “พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์” รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นนักเรียน นรต. 36 เคยเป็นนายตำรวจคนสนิท ของ พล.ต.อ.สวัสดิ์ เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส่วนระดับผบ.สำนักต่างๆ มีเพียง พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา คนเดียวที่เรียน นรต. รุ่น 34 ส่วนผู้บัญชาการคนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นตำรวจมาด้วยกัน โดย พ.ต.อ.มานิต ธนะสันติ ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคาร เคยทำงานร่วมกับ พ.ต.อ.ประเวศน์ และพ.ต.อ.สุชาติ สมัยอยู่กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยเป็นทีมพนักงานในคดีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ส่วน พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ และ พ.ต.อ.พินิจ โชติกอาภา ผบ.สำนักคดีภาษีอากร ไม่ได้เรียนนรต. แต่เป็นสายตำรวจ ซึ่งมาร่วมงานกันตอนที่อยู่ดีเอสไอ ด้วยกัน
ดังนั้น จากปมเหตุข้างต้น...จึงน่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ข่าวย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” น่าจะเป็นความจริง....