เป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง...กับการกลับมาเปิดตัวของ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” หรือที่ทุกคนรู้จักเค้าในฉายา “ยุทธ ตู้เย็น” หลังจากเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา เขาได้ออกมาตีฆ้องร้องป่าว ชนิด “กินปูนร้อนท้อง” อ้างว่าถูกการเมืองป้ายสีว่าเขามีส่วนเอี่ยวกับคดีคดีสังหารโหด “นายกรเทพ วิริยะ” หรือ ชิปปิ้งหมู พร้อมโชว์หลักฐาน-ซีดีภาพกลุ่มทหารเข้าบุกรุกบ้านพักย่านประชาชื่น เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2549 หลังรัฐประหาร โดยปฏิเสธว่าเขาไม่เกี่ยวกับคดีชิปปิ้งหมู
ก่อนอื่นขอบทบทวนความทรงจำที่มาของฉายา “ยุทธ ตู้เย็น” นายยงยุทธได้มาจากปฏิบัติการสนองนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ โดยเหตุการดังกล่าวได้บังเกิดขึ้น เมื่อเวลา 03.00 น.ของวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ตำรวจคอมมานโด นำโดย พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผู้บังคับการกองปราบปราม (ขณะนั้น) นำกำลังเข้าปิดล้อมบ้านของนายนิสสัย ศตะกูรมะ อายุ 70 ปี และนางอุดม ศตะกูรมะ อายุ 67 ปี สองตายายที่ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางไทร พระนครศรีอยุธยา และเปิดฉากยิงถล่ม โดยนายยงยุทธซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อ้างว่าได้ข้อมูลจากตู้ ปณ.ร้องทุกข์นายกรัฐมนตรี แจ้งว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นแหล่งผลิตและค้ายาบ้า
แต่ผลการตรวจค้นตำรวจกลับไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ พบเพียงสภาพบ้านได้รับความเสียหายจากห่ากระสุน โดยเฉพาะภาพหลักฐาน “ตู้เย็น” ในบ้านมีรูกระสุนกว่า 50 นัด นายนิสสัย และนางอุดม ศตะกูรมะ ซึ่งอยู่บนบ้านเพียงสองคนในวันนั้นถูกคุมตัว ใช้ปืนเอ็ม 16 จ่อศีรษะนานหลายชั่วโมงจนถึงเช้า ทางการตำรวจแถลงในภายหลังว่าได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด และยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งหมด โดยนำตู้เย็นใบนั้นกลับไปด้วย อ้างว่าจะซื้อให้ใหม่ ต่อมาทางครอบครัวศตะกูรมะได้ติดต่อขอคืนเพื่อนำมาเก็บไว้เป็นที่ระลึกภายหลังเหตุการณ์นี้ สื่อมวลชนจึงตั้งฉายาให้นายยงยุทธว่า “ยุทธ ตู้เย็น”
มาถึงคดี “ฆ่าชิปปิ้งหมู” หรือนายกรเทพ วิริยะ คดีนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อปี 2545 เสร็จสิ้นลง นายกรเทพ ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญแก่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เกี่ยวกับประเด็นการเลี่ยงภาษีการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ของตระกูลชินวัตร โดยนายกรเทพ ได้หลบหนีไปกบดานที่ จ.เชียงราย แต่สุดท้ายถูกคนร้ายยิงตาย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2546 บริเวณถนนเข้าดอยหมู่บ้านแสนใจ รอยต่อ ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน และต.แม่สลอง ใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. เข้าท้ายทอย กกหูซ้ายและลำตัว รวม 3 นัด ซึ่งต่อมาทางตำรวจตั้งประเด็นการสอบสวนว่า เป็นเพราะ “ชิปปิ้งหมู” พัวพันกับเรื่องยาเสพติด
ซ้ำร้าย “ชิปปิ้งหมู” ยังถูก “พ.ต.ท.ทักษิณ” กล่าวหาว่า “ไปอยู่ที่เชียงราย ก่อนเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2543 และไปมีภรรยาเป็นชาวอีก้อ นายกรเทพยังไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ผมก็จำไม่ได้ แต่ทราบว่า ถูกยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด และบริเวณนั้นเป็นย่านที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดมากมาย”
ขณะที่ น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) กล่าวว่า ชิปปิ้งหมูเป็นพยานของนายศิริโชค ซึ่งนายศิริโชคถูกฟ้องร้องจากบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด เป็นจำนวน 11,000 กว่าล้านบาท และเรื่องดังกล่าวจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาล ชิปปิ้งหมู อาจจะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่สามารถจะยืนยันให้น้ำหนักในคดีนี้ได้ และทำท่าว่าจะแพ้คดี การเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ก็อาจทำให้คนสงสัยได้ว่า เป็นการกระทำของผู้ใดผู้หนึ่งในการตัดตอนพยาน
เรื่องนี้ นางภัทราภรณ์ วิริยะ ภรรยาของ “ชิปปิ้งหมู” ได้ให้การต่อ พ.ต.ต.พิเชษฐ์ ฟองฟู สารวัตรเวรเจ้าของคดี สอ.อ.แม่จัน จ.เชียงราย ว่าสามีไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครในพื้นที่มาก่อน แต่ไม่ทราบเรื่องราวลึกๆ เกี่ยวกับสามี เพราะไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่ายเรื่องใดๆ ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม หากนับเวลาจาก 26 มีนาคม 2546 จนถึงขณะนี้ เป็นเวลาเกือบ 6 ปี ที่ “ชิปปิ้งหมู” ถูกยิงตาย ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเขาเสียชีวิตเพราะสาเหตุใด ....เหตุพัวพันยาเสพติด หรือถูกฆ่าปิดปากในคดีการเมืองที่โยงใยถึงบุคคลในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนั้น...
คดีนี้เมื่อ “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และ “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญมือง” ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.)ได้รับภารกิจสำคัญจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการสืบสวนสอบสวน หาความจริง โดยใกล้ถึงขั้นศาลออกหมายค้น ในเช้าวันที่ 6 ก.พ. 52 เพื่อให้ทีมสืบสวนกองปราบปรามเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 81 หมู่บ้านดง หมู่ 7 ต.สันทราย อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นของนายยงยุทธ และเป็นสำนักงานของ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาว แต่กลับพบว่าหลังมีกระแสข่าวดังกล่าว “กลุ่มคนเสื้อแดง” ภายใต้ชื่อกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ใน จ.เชียงราย ที่มี น.ส.จีรนันท์ จันทวงศ์ เป็นแกนนำจำนวนประมาณ 20 คน ได้พากันไปรวมตัวโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจกองปราบปรามเข้าไปตรวจค้นบ้านของนายยงยุทธ โดยมีการปิดประตูบ้านและจัดเวรยามเฝ้าตรวจสอบรถรา แต่ละคันที่จะเข้าออกเพื่อป้องกันบุคคลแปลกปลอมเข้าไปภายในบ้าน
ขณะที่การสืบสวนสอบสวนของตำรวจส่วนกลาง ที่ก่อนหน้านี้ได้เข้าในพื้นที่เพื่อสืบสวนสอบสวนคดี “ชิปปิ้งหมู” ใน อ.แม่จัน พร้อมกับมีการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับข้าราชการมีสีในพื้นที่ ซึ่งอาจจะมีส่วนพัวพันกับคดีนี้แล้ว โดยผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย ล้วนแต่เป็นคนใกล้ชิดของนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ทั้งสิ้น
มาวันนี้ “นายยงยุทธ ติยะไพรัช” เขาออกมาตั้ง “สมมติฐาน” ว่าถ้าผู้มีอำนาจทั้งหมดคิดว่าสามารถกำจัดพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย และกลุ่มเสื้อแดง รวมถึงฝ่ายตรงข้ามและกลุ่มพวกพ้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยวิธีการเดิมแล้วจะทำให้บ้านเมืองสงบได้ แม้จะจับตัวไปคุมขังฆ่าให้ตายทั้งหมด ตนก็เชื่อมั่นว่าไม่มีหนทางที่จะเป็นไปได้ เพราะจิตวิญญาณที่ยังไม่ตาย การกระทำที่จะใช้วิธีกำจัดกลุ่มคนฝ่ายตรงข้าม โดยไม่หันหน้ามาพูดคุยกันบ้านเมืองจะไปได้อย่างไร เพราะการอยู่ร่วมกันได้ต้องมีตัวแทนมาพูดคุยกัน จะชี้หน้าด่าว่าฉันดี เธอเลวไม่ได้ การกำจัดศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้อำนาจและวิธีต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่จบสิ้น พร้อมกับย้ำว่า วันนี้ผมจะสู้ให้ถึงที่สุดและจะบอกให้รู้ว่า การกลั่นแกล้งทางการเมือง ปล่อยข่าวมาจนเชื่อว่าเป็นความจริง ทุกวันนี้ตนไม่เถียงซักคำจะได้รู้เสียที ไม่ว่าชาติหน้า ชาติไหน ก็ตามว่า ถูกกระทำทั้งหมด ซึ่งวันนี้เป็นคดีที่ 9 แล้ว"
ส่วนการออกมาเคลื่อนไหวของนายยงยุทธ เพราะเขาร้อนตัว เหมือนดั่งที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตุ...“นายยงยุทธไม่ควรร้อนตัวออกมาแถลงข่าวแก้ต่างในเรื่องนี้ เพราะเหมือนเป็นการกินปูนร้อนท้อง การสอบสวนคดีนี้ควรจะปล่อยให้กระบวนการต่างๆ เดินหน้าไป เพราะรัฐบาลนี้ ยืนยันว่าจะไม่ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือทางการเมือง หากนายยงยุทธมั่นใจว่าไม่ผิดจริง ก็น่าจะรอไว้สู้คดีตามแนวทางกระบวนการยุติธรรมจะดีกว่า”
ท้ายสุดข้อ “สมมติฐาน” ของนายยงยุทธ จะเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงข้อกล่าวหาแบบเลื่อนลอยที่หวังเพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง ส่วนคดีนี้ “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ และ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” 2 ตำรวจมือดีจะปิดคดีอย่างไร...คำตอบสุดท้ายใครคือตัวการสั่งฆ่า “ชิงปิ้งหมู” ไม่นานเกินรอ“ยุทธ ตู้เย็น”ได้รับคำตอบแน่!!!
ก่อนอื่นขอบทบทวนความทรงจำที่มาของฉายา “ยุทธ ตู้เย็น” นายยงยุทธได้มาจากปฏิบัติการสนองนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ โดยเหตุการดังกล่าวได้บังเกิดขึ้น เมื่อเวลา 03.00 น.ของวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ตำรวจคอมมานโด นำโดย พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผู้บังคับการกองปราบปราม (ขณะนั้น) นำกำลังเข้าปิดล้อมบ้านของนายนิสสัย ศตะกูรมะ อายุ 70 ปี และนางอุดม ศตะกูรมะ อายุ 67 ปี สองตายายที่ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางไทร พระนครศรีอยุธยา และเปิดฉากยิงถล่ม โดยนายยงยุทธซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อ้างว่าได้ข้อมูลจากตู้ ปณ.ร้องทุกข์นายกรัฐมนตรี แจ้งว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นแหล่งผลิตและค้ายาบ้า
แต่ผลการตรวจค้นตำรวจกลับไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ พบเพียงสภาพบ้านได้รับความเสียหายจากห่ากระสุน โดยเฉพาะภาพหลักฐาน “ตู้เย็น” ในบ้านมีรูกระสุนกว่า 50 นัด นายนิสสัย และนางอุดม ศตะกูรมะ ซึ่งอยู่บนบ้านเพียงสองคนในวันนั้นถูกคุมตัว ใช้ปืนเอ็ม 16 จ่อศีรษะนานหลายชั่วโมงจนถึงเช้า ทางการตำรวจแถลงในภายหลังว่าได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด และยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งหมด โดยนำตู้เย็นใบนั้นกลับไปด้วย อ้างว่าจะซื้อให้ใหม่ ต่อมาทางครอบครัวศตะกูรมะได้ติดต่อขอคืนเพื่อนำมาเก็บไว้เป็นที่ระลึกภายหลังเหตุการณ์นี้ สื่อมวลชนจึงตั้งฉายาให้นายยงยุทธว่า “ยุทธ ตู้เย็น”
มาถึงคดี “ฆ่าชิปปิ้งหมู” หรือนายกรเทพ วิริยะ คดีนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อปี 2545 เสร็จสิ้นลง นายกรเทพ ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญแก่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เกี่ยวกับประเด็นการเลี่ยงภาษีการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ของตระกูลชินวัตร โดยนายกรเทพ ได้หลบหนีไปกบดานที่ จ.เชียงราย แต่สุดท้ายถูกคนร้ายยิงตาย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2546 บริเวณถนนเข้าดอยหมู่บ้านแสนใจ รอยต่อ ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน และต.แม่สลอง ใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. เข้าท้ายทอย กกหูซ้ายและลำตัว รวม 3 นัด ซึ่งต่อมาทางตำรวจตั้งประเด็นการสอบสวนว่า เป็นเพราะ “ชิปปิ้งหมู” พัวพันกับเรื่องยาเสพติด
ซ้ำร้าย “ชิปปิ้งหมู” ยังถูก “พ.ต.ท.ทักษิณ” กล่าวหาว่า “ไปอยู่ที่เชียงราย ก่อนเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2543 และไปมีภรรยาเป็นชาวอีก้อ นายกรเทพยังไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ผมก็จำไม่ได้ แต่ทราบว่า ถูกยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด และบริเวณนั้นเป็นย่านที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดมากมาย”
ขณะที่ น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) กล่าวว่า ชิปปิ้งหมูเป็นพยานของนายศิริโชค ซึ่งนายศิริโชคถูกฟ้องร้องจากบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด เป็นจำนวน 11,000 กว่าล้านบาท และเรื่องดังกล่าวจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาล ชิปปิ้งหมู อาจจะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่สามารถจะยืนยันให้น้ำหนักในคดีนี้ได้ และทำท่าว่าจะแพ้คดี การเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ก็อาจทำให้คนสงสัยได้ว่า เป็นการกระทำของผู้ใดผู้หนึ่งในการตัดตอนพยาน
เรื่องนี้ นางภัทราภรณ์ วิริยะ ภรรยาของ “ชิปปิ้งหมู” ได้ให้การต่อ พ.ต.ต.พิเชษฐ์ ฟองฟู สารวัตรเวรเจ้าของคดี สอ.อ.แม่จัน จ.เชียงราย ว่าสามีไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครในพื้นที่มาก่อน แต่ไม่ทราบเรื่องราวลึกๆ เกี่ยวกับสามี เพราะไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่ายเรื่องใดๆ ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม หากนับเวลาจาก 26 มีนาคม 2546 จนถึงขณะนี้ เป็นเวลาเกือบ 6 ปี ที่ “ชิปปิ้งหมู” ถูกยิงตาย ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเขาเสียชีวิตเพราะสาเหตุใด ....เหตุพัวพันยาเสพติด หรือถูกฆ่าปิดปากในคดีการเมืองที่โยงใยถึงบุคคลในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนั้น...
คดีนี้เมื่อ “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และ “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญมือง” ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.)ได้รับภารกิจสำคัญจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการสืบสวนสอบสวน หาความจริง โดยใกล้ถึงขั้นศาลออกหมายค้น ในเช้าวันที่ 6 ก.พ. 52 เพื่อให้ทีมสืบสวนกองปราบปรามเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 81 หมู่บ้านดง หมู่ 7 ต.สันทราย อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นของนายยงยุทธ และเป็นสำนักงานของ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาว แต่กลับพบว่าหลังมีกระแสข่าวดังกล่าว “กลุ่มคนเสื้อแดง” ภายใต้ชื่อกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ใน จ.เชียงราย ที่มี น.ส.จีรนันท์ จันทวงศ์ เป็นแกนนำจำนวนประมาณ 20 คน ได้พากันไปรวมตัวโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจกองปราบปรามเข้าไปตรวจค้นบ้านของนายยงยุทธ โดยมีการปิดประตูบ้านและจัดเวรยามเฝ้าตรวจสอบรถรา แต่ละคันที่จะเข้าออกเพื่อป้องกันบุคคลแปลกปลอมเข้าไปภายในบ้าน
ขณะที่การสืบสวนสอบสวนของตำรวจส่วนกลาง ที่ก่อนหน้านี้ได้เข้าในพื้นที่เพื่อสืบสวนสอบสวนคดี “ชิปปิ้งหมู” ใน อ.แม่จัน พร้อมกับมีการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับข้าราชการมีสีในพื้นที่ ซึ่งอาจจะมีส่วนพัวพันกับคดีนี้แล้ว โดยผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย ล้วนแต่เป็นคนใกล้ชิดของนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ทั้งสิ้น
มาวันนี้ “นายยงยุทธ ติยะไพรัช” เขาออกมาตั้ง “สมมติฐาน” ว่าถ้าผู้มีอำนาจทั้งหมดคิดว่าสามารถกำจัดพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย และกลุ่มเสื้อแดง รวมถึงฝ่ายตรงข้ามและกลุ่มพวกพ้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยวิธีการเดิมแล้วจะทำให้บ้านเมืองสงบได้ แม้จะจับตัวไปคุมขังฆ่าให้ตายทั้งหมด ตนก็เชื่อมั่นว่าไม่มีหนทางที่จะเป็นไปได้ เพราะจิตวิญญาณที่ยังไม่ตาย การกระทำที่จะใช้วิธีกำจัดกลุ่มคนฝ่ายตรงข้าม โดยไม่หันหน้ามาพูดคุยกันบ้านเมืองจะไปได้อย่างไร เพราะการอยู่ร่วมกันได้ต้องมีตัวแทนมาพูดคุยกัน จะชี้หน้าด่าว่าฉันดี เธอเลวไม่ได้ การกำจัดศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้อำนาจและวิธีต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่จบสิ้น พร้อมกับย้ำว่า วันนี้ผมจะสู้ให้ถึงที่สุดและจะบอกให้รู้ว่า การกลั่นแกล้งทางการเมือง ปล่อยข่าวมาจนเชื่อว่าเป็นความจริง ทุกวันนี้ตนไม่เถียงซักคำจะได้รู้เสียที ไม่ว่าชาติหน้า ชาติไหน ก็ตามว่า ถูกกระทำทั้งหมด ซึ่งวันนี้เป็นคดีที่ 9 แล้ว"
ส่วนการออกมาเคลื่อนไหวของนายยงยุทธ เพราะเขาร้อนตัว เหมือนดั่งที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตุ...“นายยงยุทธไม่ควรร้อนตัวออกมาแถลงข่าวแก้ต่างในเรื่องนี้ เพราะเหมือนเป็นการกินปูนร้อนท้อง การสอบสวนคดีนี้ควรจะปล่อยให้กระบวนการต่างๆ เดินหน้าไป เพราะรัฐบาลนี้ ยืนยันว่าจะไม่ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือทางการเมือง หากนายยงยุทธมั่นใจว่าไม่ผิดจริง ก็น่าจะรอไว้สู้คดีตามแนวทางกระบวนการยุติธรรมจะดีกว่า”
ท้ายสุดข้อ “สมมติฐาน” ของนายยงยุทธ จะเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงข้อกล่าวหาแบบเลื่อนลอยที่หวังเพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง ส่วนคดีนี้ “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ และ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” 2 ตำรวจมือดีจะปิดคดีอย่างไร...คำตอบสุดท้ายใครคือตัวการสั่งฆ่า “ชิงปิ้งหมู” ไม่นานเกินรอ“ยุทธ ตู้เย็น”ได้รับคำตอบแน่!!!
