กลายเป็นประเด็นร้อนประจำสัปดาห์ กับการออกมาเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ผับซานติกาของ นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งถือเป็นการตบหน้า พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ฉาดใหญ่ ! นั่นก็เพราะภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏแตกต่างกับการสรุปสำนวนการสอบสวนของตำรวจอย่างสิ้นเชิง
หากยังพอจำกันได้คดีนี้ พล.ต.อ.จงรัก ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผบ.ตร.ฝ่ายป้องกันและปราบปราม เป็นผู้ลงไปดูแลคดีตั้งแต่เริ่มแรก เสมือน “อัศวินขี่ม้าขาว” ลงไปกำกับการสอบสวนให้ดำเนินต่อไปได้ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ผูกขาดการให้สัมภาษณ์ในรายละเอียดของคดีแต่เพียงผู้เดียวตั้งแต่เริ่มแรก รวมถึงกรณีที่ตำรวจจับกุมนายสราวุธ อะริยะ อายุ 28 ปี นักร้องวงเบิร์น ผู้ต้องหารายที่ 6 ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้จุดพลุ ต้นเหตุของเพลิงนรก
โดยวันนั้น พล.ต.อ.จงรัก ได้เดินทางไปสอบปากคำนายสราวุธด้วยตนเอง พร้อมระบุ ว่า “นายสราวุธเป็นผู้ต้องหาในคดีคนสุดท้ายซึ่งเป็นคนที่ 6 และเป็นคนสำคัญที่สุด เนื่องจากมีพยานหลักฐานระบุว่า นายสราวุธ เป็นคนใช้ไฟแช็กจุดพลุในวันคืนวันเกิดเหตุ ใช้เวลาประมาณ 30 วินาที จากนั้นพลุก็พุ่งขึ้นไปบนเพดานจนทำให้เกิดไฟลุกไหม้”
แต่ภาพที่ปรากฏ ในกล้องวงจรปิด บ่งชี้ว่า มีลูกไฟเกิดขึ้นหลังจุดเอฟเฟกต์นาน 2.57 นาที โดยเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนนักร้อง และนักร้องคนที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเดินหลบไปข้างเวที อีกทั้งไม่มีภาพนักร้องเป็นผู้จุดพลุตามที่พยานให้การ กรณีนี้จึงถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าตำรวจจับแพะอีกหรือไม่...? ซึ่งคงไม่ต้องตอบอะไรอีก เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็ยืนยันได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นแทนที่จะยอมรับความผิดพลาด และหาแนวทางแก้ไข พล.ต.อ.จงรัก กลับให้สัมภาษณ์ อ้างว่าหลังทราบเรื่องตนได้พาพยานไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่กระทรวงยุติธรรมแล้ว โดยไปอย่างเงียบๆ สื่อมวลชนไม่มีใครทราบ ซึ่งพยานยังคงยืนกรานที่จะให้การเช่นเดิม ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ถูกฉีกหน้า กรณีที่เกิดเป็นปัญหาระหว่างพยานบุคคล กับวัตถุพยาน คือภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิสูจน์เองว่าใครถูกใครผิด
“ศาลต้องพิสูจน์พยานทั้ง 2 ฝ่าย ว่าอะไรจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน เมื่อพยานบุคคลและวัตถุพยานขัดแย้งกัน แต่พยานบุคคลก็ยืนยันก็ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการ ส่วนการพิสูจน์ทั้งหมดเป็นเรื่องของศาลจะไม่มีการตัดทิ้งอย่างหนึ่งอย่างใด ขั้นตอนการขอจับกุมไม่ใช่ขั้นตอนการชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก เป็นเพียงกระบวนการตามผู้ต้องหามาสู่กระบวนการและนำไปสู่ในชั้นศาลเท่านั้น”
จากถ้อยแถลงดังกล่าว เป็นที่น่าสนใจว่า เกิดอะไรกระบวนการคิดของรองผบ.ตร.ท่านนี้ หรือสักแต่ว่าทำคดีไปตามพยานบอกเล่าเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องพิจารณาพยานหลักฐานอื่นๆ เลยกระนั้นหรือ? ทั้งที่พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ก็มีความชัดเจน แน่นอน ซึ่งศาลเองก็ได้ให้น้ำหนักไม่น้อยกว่าพยานบุคคล ขณะเดียวกันกรณีนี้ในเมื่อ รู้ทั้งรู้ว่าผู้ที่ถูกออกหมายจับ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา แต่ยังจะส่งตัวเขาขึ้นศาล ให้ตกเป็นจำเลย ต้องแก้ต่างสู้คดี ทั้งที่ไม่ได้กระทำผิด แล้วท่านยังจะกล้าเรียกตัวเองว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ได้อีกหรือ?
อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่อง ใครหน้าแตก หรือใครได้หน้า แต่เป็นเรื่องของชีวิตทั้งชีวิตของผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญวิบากกรรมทั้งที่เขาไม่ได้เป็นผู้กระทำ ตำรวจรู้ทั้งรู้ ยังจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ได้หรือ ? ดังคำกล่าวในแวดวงยุติธรรมที่ว่า “การปล่อยคนผิดสิบคนดีกว่าจับคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียว” หรือพล.ต.อ.จงรัก ผู้ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงนี้ จะปฏิเสธว่าไม่เคยรู้หลักการข้อนี้
หากส่องกล้องมองดูผลงานในอดีตของ พล.ต.อ.จงรัก จะพบว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีแรกที่มีปัญหา จากการตรวจสอบคดีอาชญากรรมใหญ่ๆที่เกิดขึ้นพื้นที่นครบาลสมัยที่ พล.ต.อ.จงรัก รับผิดชอบด้านการสอบสวนในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคลี่คลาย เมื่อครั้นอยู่ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คุมงานสอบสวนจนได้รับฉายาว่า "มือสอบสวนนครบาล" นั้นพบว่า การสรุปสำนวนคดีสำคัญๆ อาทิ คดีการเสียชีวิตของนายห้างทอง ธรรมะวัฒนะ ในห้องพักของนายนพดล ธรรมะวัฒนะ น้องชายเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คดียิงนายบุญเลี้ยง อดุลยฤทธิกุล ( เสี่ยเลี้ยง ) ผู้กว้างขวางวงการธุรกิจคาเฟ่เมืองไทย เสียชีวิตในลิฟท์เมื่อปี 2540 และคดียิงนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธุ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง เมื่อปี 2544
โดยเฉพาะคดีการเสียชีวิตของนายห้างทอง ธรรมะวัฒนะ ซึ่งในชั้นแรกตำรวจสรุปสำนวนคดีว่านายห้างทองปลิดชีพตัวเอง ทั้งที่หลักฐานที่ปรากฏในขณะนั้น มีข้อพิรุธอยู่หลายจุด จนนำมาสู่การรื้อคดีใหม่ โดยพ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (ตำแหน่งในสมัยนั้น) ถือเป็นการจุดกระแสความขัดแย้งระหว่างตำรวจกับกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากพยานหลักฐานทางคดีที่ 2 ฝ่ายความแตกต่างกัน เพราะคณะทำงานของพ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ เน้นพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เป็นหลัก จนมีการสรุปคดีในภายหลังว่านายห้างทองถูกฆาตกรรม จนทำให้เกิดกระแสความงุนงงสงสัยของประชาชน ต่อการทำคดีของนายพลผู้นี้
จะอย่างไรก็แล้วแต่เชื่อว่ากรณีที่เกิดขึ้น ไม่มีใครหรอกที่ต้องการจะฉีกหน้า พล.ต.อ.จงรัก เพราะการสอบสวนคดีคงไม่ทำให้ใครได้หน้า หรือ เสียหน้า แต่เป็นเรื่องของการนำคนผิดมาลงโทษ ตามโทษานุโทษ ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จึงต้องดำเนินการโดยรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่ทำคดีอย่าฉาบฉวย รวบรัดตัดความอย่างที่เป็นอยู่ การออกเปิดเผยภาพวงจรปิดของกระทรวงยุติธรรมนั้น เป็นการส่งสัญญาณให้ตำรวจได้รู้ว่า ตำรวจกำลังจับแพะ (อีกแล้ว) และเป็นบทเรียนสำคัญในการทำคดีของตำรวจที่มักจะเน้นแต่เพียงพยานบุคคลเพียงอย่างเดียว โดยไม่พิจารณาหลักฐานอื่นให้ครบถ้วน นอกจากนี้ยังเป็นการย้ำเตือนการทำหน้าที่ของตำรวจในฐานะต้นธารของกระบวนการยุติธรรม ให้รอบคอบรัดกุมมากขึ้น เพราะหากเกิดความบกพร่องแม้แต่เพียงน้อยนิด จะส่งผลให้เกิดความผิดเพี้ยนทั้งระบบ จนนำไปสู่การนำคนบริสุทธิ์ขึ้นตะแลงแกง
ขณะเดียวกันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้ไมค์และกล้องเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสำนวนคดีของ พล.ต.อ.จงรัก แม้จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี (ให้กับตัวเอง) แต่เป็นการทำลายภาพลักษณ์ขององค์กร และความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มิหนำซ้ำยังบั่นทอนต้นทุนทางสังคมของตำรวจ ที่ตกต่ำย่ำแย่อยู่แล้ว ให้ลดน้อยถอยลงไปอีก