เหตุการณ์เพลิงไหม้ผับมรณะ “ซานติก้า” ที่ถนนเอกมัย ในท้องที่ สน.ทองหล่อ ตั้งแต่เวลา 00.20 น.ของวันที่ 1 ม.ค. 2552 อันเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้องรับปีใหม่ และยังเป็นวันพิเศษของซานติก้าผับที่ต้องการให้เป็นวัน “สั่งลา” ด้วยสถานที่ดังกล่าวหมดสัญญาเช่าพอดิบพอดี ซึ่งเหตุการณืดังกล่าว ได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 66 ราย บาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บเล็กน้อยอีกจำนวนมาก
หลังเกิดเหตุปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายป้องกันปราบปราม 2 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เป็นผู้ลงไปดูแลการสอบสวนหาสาเหตุของเพลิงนรกครั้งนี้ โดย พล.ต.อ.จงรัก เดินทางไปในวันเกิดเหตุตั้งแต่เวลา 05.00 น. จากนั้น พล.ต.อ.จงรัก ซึ่งดูเหมือนจะสวมบท “พระเอก” ออกมาให้สัมภาษณ์รายวัน ถึงความคืบหน้าของคดี รวมทั้งการจับกุมนักร้องนำวงเบิร์น ที่ถูกตำรวจระบุว่าเป็น"ต้นเหตุ"ของการเกิดเพลิงไหม้ ทว่า ภายหลัง ผลการสอบสวนของคณะกรรมการกระทรวงยุติธรรมได้สรุปผลออกมา ปรากฏว่าต่างจากสำนวนการสอบสวนของตำรวจราวหน้ามือกับหลังเท้า
“ทีมข่าวอาชญากรรม เอเอสทีวีผู้จัดการ” ขอหวนรำลึกถึง “ลมปาก” ของ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ที่มีตำแหน่งเป็นถึงรอง ผบ.ตร. ที่เชื่อว่า น่าจะมีความเชื่อถือได้มากที่สุด และในฐานะที่ได้ลงไป “คลุกวงใน” เบื้องหน้าเบื้องหลังและเบื้องลึกกับคดีมาตั้งแต่ต้น
1 มกราคม เวลา 05.30 น. พล.ต.อ.จงรัก เดินทางไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ หลังจากเดินดูจุดต่างๆ แล้วได้ให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียชีวิต 58 คน และบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ กว่า 200 คน โดยได้มีการตั้งศูนย์ช่วยเหลือและรับแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ ซึ่งตำรวจจะทำการตรวจสอบผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงผู้ที่อยู่บนเวทีทั้งนักดนตรี นักร้อง มือกลอง ซึ่งมีคนให้การว่าผู้ที่อยู่บนเวทีเป็นผู้จุดพลุไฟทำให้เกิดไฟไหม้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้งว่า เกิดจากสาเหตุใดแน่ และเกิดจากความประมาทหรือไม่
วันเดียวกัน หลังจากที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. เดินทางไปที่เกิดเหตุและให้สัมภาษณ์สื่อไป พล.ต.อ.จงรัก กล่าวอีกครั้งว่า เรื่องนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ที่สถานบันเทิงมักจะใช้วัสดุเก็บเสียง ซึ่งส่วนใหญ่วัสดุที่ใช้จะติดไฟง่าย ทางออก ทางหนีไฟต่างๆ ซึ่งขณะนี้ผู้ที่ตามหาญาติให้นำตำหนิ รูปพรรณ ข้อมูลของผู้สูญหายหรือผู้ที่มาเที่ยวเข้าติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เพราะบางคนไม่มีหลักฐานติดตัวจึงไม่ทราบว่าเป็นใคร ให้นำหลักฐานมาเพื่อแจ้งความและทำการตรวจสอบกับทางโรงพยาบาลต่างๆ ส่วนสาเหตุต้องให้ทาง พฐ.ตรวจสอบอย่างละเอียด คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จึงสรุปผลได้
2 มกราคม เวลา 09.00 น.ที่ห้องปฏิบัติการจราจร สน.ทองหล่อ พล.ต.อ.จงรัก เรียกประชุมคลี่คลายคดีและตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใช้เวลา 1 ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น จากนั้น พล.ต.อ.จงรัก ออกมาเปิดเผยว่า ได้ประชุมเพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น ส่วนผู้เสียชีวิตเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้คืบหน้าไปมาก ซึ่งถึงตอนนี้สรุปว่ามีผู้เสียชีวิตที่ยังไม่ทราบชื่อทั้งสิ้น 21 ศพ ซึ่งในส่วนนี้ ขอให้ญาติผู้เสียชีวิตนำหลักฐาน เอกสาร และข้อมูลมาที่ สน.ทองหล่อ เพราะมีการตั้งศูนย์ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยในส่วนของรถที่พบในที่เกิดเหตุหลังจากเกิดเหตุมีทั้งสิ้น 27 คัน ขณะนี้มีผู้ติดต่อขอรับรถกลับแล้วเกือบหมด เหลือเพียง 3 คันที่จอดอยู่ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้หรือไม่ อย่างไรก็ตามทราบชื่อทั้งหมดแล้วและขอให้ญาติ นำหลักฐานเพื่อมารับรถคืน
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวต่อว่า จากที่พบปรากฏว่ามีความผิดชัดเจนในเรื่องปล่อยให้มีเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีเข้าไปใช้บริการด้วย ซึ่งจะต้องดำเนินคดีกับผู้จัดการร้านหรือผู้เกี่ยวข้อง โดยทางตำรวจจะนำรถยนต์ที่พบมาตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานรายละเอียดในรถเพิ่มเติม ส่วนเจ้าของคือ นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือ เสี่ยขาว ขณะนี้ได้รับการประสานว่าจะติดต่อเข้าพบเจ้าหน้าที่ และต้องมาพบแน่นอน เพราะว่าต้องตรวจสอบเรื่องเอกสารต่างๆ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าสถานบันเทิงแห่งนี้ เคยทำเรื่องขอใบอนุญาตเมื่อปี 2547 แต่สถานที่ก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จดีจึงไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ทำให้ทางร้านยื่นเรื่องกับทางศาล และศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้เปิดกิจการได้ ส่วนด้านการสอบสวนถึงตอนนี้สอบปากคำไปแล้วประมาณ 20 ปาก ซึ่งรายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยในส่วนของดีเจ 2 คนที่ออกรายการโทรทัศน์ (ดีเจภูมิ และดีเจเพชรจ้า) อยากให้มาให้ปากคำต่อตำรวจในเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย
4 มกราคม เวลา 13.45 น.นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือ เสี่ยขาว อายุ 41 ปี เจ้าของซานติก้าผับ ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.จงรัก เพื่อให้ปากคำ ซึ่งหลังการสอบปากคำเสร็จ พล.ต.อ.จงรัก เปิดเผยว่า จากการสอบสวน นายวิสุข หรือเสี่ยขาว ทางพนักงานสอบสวนจะพิจารณาดำเนินคดีใน 2 ข้อหา คือ ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการ ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ โดยตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อผู้ประกอบการเป็นบริษัทก็จะพิจารณาดำเนินคดีกับกรรมการผู้จัดการ สำหรับ บริษัท ไวท์แอนด์บราเทอร์ จำกัด คือ นายสุริยา ฤทธิ์ระบือ ซึ่งจะต้องเรียกตัวมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
“การพิจารณาดำเนินคดีข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้น ทางพนักงานสอบสวนได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐาน โดยในวันเดียวกันนี้ ยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีต่อนายวิสุขแต่อย่างใด เป็นเพียงการสอบปากคำเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ดี ทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 100 ปาก ทำให้ทราบสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้แล้ว สำหรับหุ้นส่วนของบริษัทไวท์แอนด์บราเทอร์ นั้น ทราบว่าจะทยอยเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนต่อไป ส่วนสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้นั้นจากสอบปากคำนายวิสุข ในเบื้องต้น แนวโน้มน่าจะเกิดจากเอฟเฟกต์บนเวที ซึ่งหากผลสอบพบว่ามีผู้ใดที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในร้าน นักดนตรี รวมทั้งลูกค้าที่มาเที่ยวก็จะพิจารณาดำเนินคดีทั้งหมด” พล.ต.อ.จงรัก ให้สัมภาษณ์ในครั้งนั้น
12 มกราคม เวลา 10.30 น.ที่ สน.ทองหล่อ พล.ต.อ.จงรัก เรียกประชุมสรุปผลการดำเนินการทางคดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นออกมาเปิดเผยว่า ครั้งนี้ได้มาประชุมสรุปผลการดำเนินการทางคดีในเบื้องต้น โดยขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดพระโขนง เลขที่ ส.47/52 และ ส.48/52 ลงวันที่ 10 ม.ค.52 เพื่อจับกุม นายวิสุข หรือเสี่ยขาว เสร็จสวัสดิ์ หุ้นส่วนใหญ่ของซานติก้าผับ และ นายสุริยา ฤทธิ์ระบือ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ ตามลำดับ ในความผิด 2 ข้อหา คือ ร่วมกันกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บและเสียชีวิต มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาร่วมกันเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งสถานบริการ ยิมยอมและปล่อยปละละเลยให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปในสถานบริการ มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งพนักงานสอบสวนจะติดต่อให้มารับทราบข้อกล่าวหา โดยที่ไม่ต้องติดตามจับกุมตัว เนื่องจากมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งอยู่แล้ว
“พนักงานสอบสวนมีเห็นว่า ทั้งสองคนได้จัดให้มีการแสดงขึ้นในวันขึ้นปีใหม่ ทั้งๆ ที่สภาพอาคารไม่พร้อม โดยพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตวัฒนา หรือเจ้าหน้าที่สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ระบุว่าสถานที่เกิดเหตุนั้นรับแขกได้เพียง 500 คน หรือมีพื้นที่เพียง 500 ตารางเมตร แต่ทางซานติก้าผับได้มีการส่งเอสเอ็มเอสเชิญชวนแขกไปนับหมื่นราย และมีแขกที่เดินทางมาเที่ยวเกินกว่า 1,000 ราย เกินกว่าที่อาคารจะรับได้ นอกจากนี้ ระบบรักษาความปลอดภัย เช่น ประตูฉุกเฉิน ป้ายทางหนีไฟ สัญญาณไฟแจ้งเหตุ ระบบดับเพลิงอัตโนมัติก็ไม่มี แสดงให้เห็นว่า ผู้ต้องหาแสวงหาผลกำไรโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้า จึงถือว่าเข้าข่ายความผิดกระทำการโดยประมาท หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องที่จะต้องรับผิดชอบเพิ่มเติมบ้าง เช่น คนจุดพลุ หรือคนหรือทำเอฟเฟกต์ จะต้องร่วมรับผิดชอบแน่นอน หากพบว่าพยานหลักฐานเชิ่มโยงไปถึงใครก็จะออกหมายจับเพิ่มเติมแน่นอน ส่วนการสอบสวนหาสาเหตุของเพลิงไหม้นั้น ขณะนี้คืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจพิสูจน์ที่แน่นอนว่า เหตุเพลิงไหม้จะเกิดขึ้นจะพลุหรือเอฟเฟกต์ ซึ่งจากการสอบสวนทีมทำเอฟเฟกต์ยืนยันว่าเอฟเฟกต์ที่ใช้นั้นไม่สูงเกิน 5 เมตร แต่เพดานที่เกิดเหตุสูงกว่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อีกครั้งว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่เชื่อว่าเกิดจากสองสาเหตุนี้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ทราบว่า นายปุณณรัตน์ แสนเมืองชิน คนกดสวิตช์เอฟเฟกต์ได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุไปแล้ว”
14 มกราคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จงรัก กล่าวถึงการติดตามตัวนายสุริยา ฤทธิ์ระบือ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์แอนด์บราเธอร์ หนึ่งในผู้ต้องหาว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ทองหล่อ ไปดำเนินการติดตามจับกุมตัวตามหมายจับ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบเบาะแสว่าหลบหนีไปไหน อยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ สำหรับหุ้นส่วนคนอื่นๆ นั้นจะพิจารณาผู้บริหารหรือหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดกับนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ และมีส่วนร่วมในการจัดการครั้งนี้ ซึ่งต้องดูพยานหลักฐานต่างๆ ว่ามีใครบ้างที่เกี่ยวข้องบ้าง ถ้าพบว่าเกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันทุกราย แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบว่ามีใครกี่คนที่เกียวข้องบ้าง สำหรับสาเหตุของเพลิงไหม้มีความชัดเจนมากขึ้นว่าน่าจะเกิดจากการจุดดอกไม้ไฟไม่ใช่เอฟเฟกต์ แต่ก็ต้องหาผลการตรวจยืนยันจากกองพิสูจน์หลักฐานอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมทำรายงานเสนอมา
22 มกราคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนพบว่ายังมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะต้องถูกดำเนินคดีเพิ่มอีก 3 คน ประกอบด้วย นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผู้จัดการสถานที่ นายวุฒิพงษ์ ไวยลักรี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และนายพงษ์เทพ จินดา ผู้จัดการฝ่ายบันเทิง ซึ่งบุคคลทั้ง 3 ได้ถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐาน กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ ในวันที่ 23 ม.ค.เวลา 10.00 น. ที่ สน.ทองหล่อ ซึ่งหากบุคคลทั้ง 3 ไม่มาตามนัดหมายก็จะเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับต่อไปตามขั้นตอน และหลังจากนี้พนักงานสอบสวนยังจะต้องดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจุดพลุอีกจำนวนหนึ่ง แต่ในส่วนนี้จะต้องรอผลการตรวจจากกองพิสูจน์หลักฐานและจากกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้มอบหมายให้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนนันท์ เข้ามาร่วมตรวจหาพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ เพื่อช่วยเหลือพนักงานสอบสวนอีกทางหนึ่ง ซึ่งทางตำรวจก็จะได้ประสานขอรับผลการตรวจมาประกอบสำนวนการสอบสวนด้วย
27 มกราคม เวลา 10.00 น.ที่ สน.ทองหล่อ พล.ต.อ.จงรัก เดินทางไปสอบปากคำ นายสราวุธ อะริยะ อายุ 28 ปี นักร้องนำวงเบิร์น ซึ่งหลังสอบปากคำประมาณ 30 นาที พล.ต.อ.จงรัก เปิดเผยว่า วันนี้ได้จับกุมนายสราวุธ ผู้ต้องหาในคดีคนสุดท้ายซึ่งเป็นคนที่ 6 และเป็นคนสำคัญที่สุด เนื่องจากมีพยานหลักฐานระบุว่า นายสราวุธ เป็นคนใช้ไฟแช็กจุดพลุในวันคืนวันเกิดเหตุ ใช้เวลาประมาณ 30 วินาที จากนั้นพลุก็พุ่งขึ้นไปบนเพดานจนทำให้เกิดไฟลุกไหม้ ซึ่งจากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และขอให้การในชั้นศาล อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ได้ตั้งหลักทรัพย์ในการประกันตัวไว้ 1 ล้านบาท หากมีเงินมายื่นประกันก็จะให้ประกันตัว แต่หากไม่มีเงินก็จะนำตัวไปฝากขังที่ศาลต่อไป ซึ่งสาเหตุที่ตั้งวงเงินประกันเท่ากับนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเฮียขาว หุ้นส่วนใหญ่นั้น ก็เพราะนายสราวุธ เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ดังกล่าว
“หลังเกิดเหตุ ตำรวจใช้เวลา 27 วันก็สามารถรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาคนสุดท้ายได้ ส่วนกรณีที่กระทรวงยุติธรรมได้ส่งทีมงานเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุนั้น ทางพนักงานสอบสวนก็จะนำเข้ามาประกอบในสำนวนการสอบสวน หากตรวจสอบพบว่ามีความผิดข้อหาอื่นอีกก็จะดำเนินคดีต่อไป”
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางกระทรวงยุติธรรม ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากมีนายตำรวจระดับรองผู้การฯกองปราบคนหนึ่ง เข้าไปมีหุ้นอยู่ในซานติก้าผับนั้น ทางผับดังกล่าวก็ไม่เคยถูกจับกุมอีกเลยนั้น พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ในเรื่องนี้ได้สั่งการให้ ผบช.น.เป็นผู้ตรวจสอบ ส่วนตำรวจคนที่มีชื่อร่วมถือหุ้นในผับแต่ใช้คำว่านายนำหน้านั้น เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของนายตำรวจคนดังกล่าวเป็นคนสอบสวนไม่ใช่อำนาจของตน ซึ่งหากตรวจสอบแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทางผู้บังคับบัญชาจะต้องเนินการตามระเบียบวินัย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีพยานกี่รายที่ให้การยืนยันว่า นายสราวุธ เป็นคนจุดพลุในคืนเกิดเหตุ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีพยานกี่ปาก เพราะเป็นรายละเอียดของการสอบสวนคดี บอกได้แต่เพียงว่าศาลได้ออกหมายจับแล้ว ก็มีผลดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งขอยืนยันว่าไม่มีการจับแพะ มีเหตุมีผลทั้งนั้น เพราะจากหลักฐานก็สอดคล้องกับของทางกระทรวงยุติธรรม ที่ระบุว่า ขณะที่นักร้องกำลังร้องเพลงก็ได้จุดพลุขึ้นไป หลังจากนั้นแล้ว พลุได้พุ่งสูง 8-10 เมตร ในขณะที่เอฟเฟกต์สูงได้แค่เพียง 5 เมตร ประเด็นที่ว่า เอฟเฟกต์ ทำให้เกิดเพลิงไหม้จึงตัดทิ้งไป
ต่อข้อถามที่ว่า พลุดังกล่าวนั้นนักร้องนำเป็นคนนำเข้ามาเอง หรือทางซานติก้าผับได้จัดเตรียมไว้ให้ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นตัวนักร้องนำเอาพลุเข้ามาเองหรือทางผับก็แล้วแต่ หากเป็นทางผับนำเข้ามา ก็ถือได้ดำเนินคดีไปแล้วในข้อหา กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ สำหรับนายสุริยา ฤทธิ์ระบือ กรรมการผู้จัดการบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ ที่กำลังหลบหนีอยู่นั้นอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน
28 มกราคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จงรัก กล่าวยืนยันว่า คดีนี้ยังไม่จบ เพียงแต่การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตครบถ้วนแล้ว มีผู้ต้องหาทั้งสิ้น 6 คน และคงไม่มีเพิ่มกว่านี้แล้ว
“ในส่วนการสอบสวนด้านอื่นๆ ก็ยังคงดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป โดยเฉพาะการดำเนินการตามผลสรุปของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งอาจมีความผิดฐานอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็สามารถดำเนินคดีได้ โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการดัดแปลงอาคารเกี่ยวกับการเสียภาษี ซึ่งปกติแล้วความผิดเหล่านี้ เป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เป็นผู้เสียหายโดยตรง รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมที่ตรวจสอบ และรู้ใครผิดฐานใดบ้าง ซึ่งหากส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการก็สามารถแจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้ เพราะเป็นต่างกรรม ต่างวาระกัน ซึ่งเจ้าของซานติก้าต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนต้องรอผลสรุปของกระทรวงยุติธรรม ขณะนี้ยังไม่สรุปสำนวน ยังต้องใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป”
2 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.จงรัก ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ภายหลังนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกมาระบุว่า มีหลักฐานใหม่เป็นภาพทีวีวงจรปิดของซานติกาผับ ซึ่งภาพแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการสอบสวน และคำให้การของพยานต่อพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งระบุว่า นักร้องนำวงเบิร์นเป็นผู้จุดไฟแช็กที่หน้ากลองจนเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ แต่ภาพจากกล้องวิดีโอของซานติก้าผับ บ่งชี้ว่า มีลูกไฟเกิดขึ้นหลังจุดเอฟเฟกต์นาน 2.57 นาที โดยเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนนักร้องและนักร้องคนที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเดินหลบไปข้างเวที อีกทั้งไม่มีภาพนักร้องเป็นผู้จุดพลุตามที่พยานให้การ โดย พล.ต.อ.จงรัก ระบุว่า ตนเองอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ไปสอบถามตำรวจพื้นที่ที่เกิดเหตุ อย่าข้ามขั้นมาถามรอง ผบ.ตร.ให้ไปถามทาง พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ ปานสาคร รอง ผบก.น.5 ผู้รับผิดชอบในท้องที่ หรือจะให้ พ.ต.อ.ขจรศักดิ์โทร.หาก็ได้
ผู้สื่อข่าวอ้างอิงคำพูดของ รมว.ยุติธรรม ที่ระบุว่า นักร้องวงเบิร์นเป็น “แพะ” พล.ต.อ.จงรัก กล่าวตอบว่า “คุณพูดเองนะ พูดรุนแรงไปหรือเปล่า ผมจะไม่ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น เพราะยังไม่รู้รายละเอียด”
เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามซักว่า ยังยืนยันหรือไม่นักร้องวงเบิร์นเป็นผู้ต้องหาที่แท้จริง พล.ต.อ.จงรัก กล่าวอย่างมีอารมณ์อีกว่า “ผมจะไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น และผมก็ทราบว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้ตอบคำถามนี้ไปแล้ว ให้ไปตรวจสอบดู” จากนั้นก็ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ อีกตัดสายโทรศัพท์ไป
3 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ถึงการเปิดเผยวิดีโอเทปซานติก้าผับของกระทรวงยุติธรรม ว่า ได้ดูเทปดังกล่าวแล้วที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ม.ค. พร้อมกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และพยานบุคคล ซึ่งหลังจากดูแล้ว พยานระบุว่าเทปนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ยืนยันว่าเห็นว่านักร้องนำวงเบิร์นเป็นคนจุดพลุ
“เมื่อคดีไปสู่ศาล ศาลต้องพิสูจน์พยานทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งวัตถุพยานที่เป็นเทป กับพยานบุคคล ว่าอะไรจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน ซึ่งพยานบุคคลต้องถูกสอบถามว่าพยานยืนตรงไหนอย่างไร ห่างที่เกิดเหตุกี่เมตร มีแสงสว่างเพียงพอหรือไม่ เชื่อแน่หรือไม่ว่าเห็น ขณะที่ตัวเทปต้องถูกพิสูจน์ว่ามีที่มาอย่างไร ครอบคลุมเหตุการณ์ทั้งหมดหรือไม่ หรือตอนหนึ่งตอนใด ขณะเกิดเหตุครอบคลุมเวทีหรือไม่ จนกว่าศาลจะแน่ใจว่าเทปเห็นเหตุการณ์ตรงนั้นจริง ศาลถึงจะลงโทษ แต่ขณะนี้อยู่ในเบื้องต้น ในเมื่อพยานบุคคลและวัตถุพยานขัดแย้งกัน แต่พยานบุคคลก็ยืนยันก็ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการ ส่วนการพิสูจน์ทั้งหมดเป็นเรื่องของศาลจะไม่มีการตัดทิ้งอย่างหนึ่งอย่างใด ขั้นตอนการขอจับกุมไม่ใช่ขั้นตอนการชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก เป็นเพียงกระบวนการตามผู้ต้องหามาสู่กระบวนการและนำไปสู่ในชั้นศาลเท่านั้น” รอง ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.จงรัก ปฏิเสธว่า ไม่ได้ขัดแย้งกับกระทรวงยุติธรรม และไม่ได้รู้สึกถูกฉีกหน้า เพราะเป็นขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน ขณะที่เคยขอเทปนี้แล้วหลังจากดูพร้อมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่มอบให้
วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.กล่าวว่า คดีที่เกิดขึ้นเป็นคดีใหญ่ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลงมาคุมเองและตั้งเป็นคณะทำงานดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง มี พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.เป็นประธานคณะทำงาน บช.น.เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการรวบรวมหลักฐานการสอบสวน ส่วนการชี้แจงข้อเท็จจริงนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.จงรัก และหากคดีปิดแล้ว แต่เมื่อผลการสอบสวนยังเชื่อมโยงไปถึงใครตำรวจก็ยังจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
3 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวถึงกระแสความขัดแย้งระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับตำรวจอีกครั้งว่า ทั้งสองหน่วยงานไม่ได้มีความขัดแย้งกัน แต่เป็นเรื่องของการรับฟังพยานวัตถุ กับพยานบุคคล ที่ผ่านมา ตำรวจได้ขออนุมัติหมายจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดไปตามพยานบุคคลผู้รู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งศาลเองก็อนุมัติหมายจับให้ โดยเมื่อวันที่ 30 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนเองได้พาพยานบุคคลที่เป็นคนถ่ายวิดีโอไปให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมซักถามด้วยตัวเอง และพยานปากนี้ก็ยังยืนยันว่าเห็นผู้ต้องหาเป็นคนจุดพลุก่อนเกิดเพลิงไหม้ ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรก็ต้องให้ศาลเป็นผู้วิเคราะห์และวินิจฉัยเองว่าพยานบุคคลมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เห็นเหตุการณ์อย่างไร ขณะเกิดเหตุอยู่ตรงไหน สามารถมองเหตุการณ์ได้ชัดเจนหรือไม่ เช่นเดียวกับวิดีโอที่มีผู้บันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้ ศาลก็จะต้องตรวจสอบว่า ใครเป็นคนถ่าย ถ่ายไว้ได้ช่วงไหนครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องพิจารณากันให้ดีว่าอะไรมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่ากัน จึงไม่อยากให้ใครมาชี้ถูกชี้ผิดกันในขณะนี้
“ตำรวจได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องแล้ว 5 คน ตั้งแต่เจ้าของ ผู้จัดการฝ่าย และนักร้องที่มีพยานยืนยันว่าเป็นคนจุดพลุในคืนเกิดเหตุ ซึ่งทุกขั้นตอนของการดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปด้วยความรอบครอบและยืนยันว่าไม่ได้เป็นการจับแพะ เรื่องนี้ตำรวจยังไม่ปิดคดี เนื่องจากยังต้องรวบรวมพยานหลักฐานอีกหลายส่วน ส่วนการที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มีเทปจากกล้องวงจรปิดหลังจากเกิดเหตุนั้น ปรากฏว่า เทปดังกล่าวไม่มีภาพที่ชัดเจน กรณีนี้จึงเป็นปัญหาระหว่างพยานบุคคลกับวัตถุ ซึ่งศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง ตำรวจหรือใครก็ไม่มีอำนาจที่จะไปตัดสิน ภาพจากกล้องวงจรปิดดังกล่าวทางดีเอสไอไม่ได้มีการส่งมาให้ตำรวจเลย ผมเพิ่งมาทราบเมื่อวันที่ 30 มกราคม ที่ผ่านมา หลังจากนั้น ผมได้ขอไปยัง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เพื่อนำมาประกอบกับสำนวนการสอบสวน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เสียหน้าหรือเสียความรู้สึกในการทำคดีหรือไม่ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ไม่หรอก เราร่วมมือกันตั้งแต่แรก นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังกรุณาให้ตนพาพยานไปดูภาพจากกล้องวงจรปิด และยังเลี้ยงข้าวตนด้วย
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะมีการพิจารณาสำนวนใหม่อีกครั้งหรือไม่ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ตำรวจพร้อมที่จะรับเทปดังกล่าวมาประกอบสำนวนการสอบสวน แต่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ไม่ให้ อย่างไรก็ตามทราบว่าจะมีการรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากมีความผิดอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งตำรวจเองก็ไม่ขัดข้อง
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ตำรวจทราบมาก่อนหรือไม่ว่ามีการค้ายาเสพติดในซานติก้าผับ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า กรณีดังกล่าว พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เอาเครื่องมือมาตรวจสอบที่เกิดเหตุและเครื่องมือดังกล่าวส่งสัญญาณว่าผับแห่งนี้เคยมีการค้ายาเสพติด ซึ่งหากเป็นเครื่องมือที่ศาลรับฟัง ได้ก็ไม่มีปัญหา ตำรวจก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในฐานที่มีการมั่วสุมค้ายาเสพติดในสถานบริการ ซึ่งยืนยันว่าประเด็นเหล่านี้ตำรวจไม่ได้ละเลย อย่างไรก็ตาม การสอบสวนคดีในเรื่องการก่อสร้างอาคาร การเสียภาษี กระทรวงยุติธรรม ก็มีอำนาจที่จะดำเนินการได้ ตำรวจมีอำนาจหน้าที่เฉพาะคดีอาญาเท่านั้น ถือเป็นเรื่องที่เข้ามาช่วยตรวจสอบเพราะยังมีความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมาก
เมื่อถามว่า ตำรวจหนักใจหรือไม่หากผู้ต้องหาจะมีการฟ้องกลับ พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะเรื่องนี้มีพยานบุคคลชัดเจน ก่อนจับกุมก็ต้องไปขออนุมัติจากศาล ซึ่งตำรวจดำเนินการตามหมายจับของศาล ซึ่งใครที่จะมากล่าวหาว่าตำรวจจับแพะจะต้องระมัดระวัง
4 กุมภาพันธ์ เวลา 11.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกระบวนการสอบสวน ทั้งตำรวจ กระทรวงยุติธรรม หรือดีเอสไอ ต้องเป็นการมุ่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาคนผิดที่แท้จริง เพราะฉะนั้นอยู่ที่ว่าการรวบรวมพยานหลักฐาน และมีพยานหลักฐานขึ้นมาว่าเป็นอย่างไร ก็ต้องอยุ่ที่หลักฐานตรงนั้น ส่วนตัวนั้นไม่ถือว่าเป็นการเสียหน้า เนื่องจากพยานครั้งแรกที่ได้นั้นเป็นพยานบุคคล และหลักฐานที่ตำรวจยังไม่ได้ตามที่ปรากฎตามสื่อในขณะนี้ ซึ่งก็ต้องดูตามหลักฐานที่ได้ว่าเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้สำนวนยังไม่มีการสรุปการสั่งคดีในการสอบสวน แต่ถ้าเพื่อความสบายใจ หรือความเป็นธรรม จะมีการโอนคดีไปให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เป็นผู้ดำเนินการทางตำรวจก็ไม่ขัดข้อง และไม่ถือว่าเป็นการเสียหน้าแต่อย่างใด
“ขอเรียนชี้แจงแทน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจนครบาล ได้เข้ามาช่วยแนะนำข้อกฎหมาย แต่เนื่องจาก ท่านไม่ได้เป็นพนักงานสอบสวน บางครั้งอย่าคิดว่าเป็นความผิดของท่าน เพราะท่านเพียงแนะนำ หากจะผิดก็ต้องเป็นพวกเราทุกคนที่รวบรวมพยานหลักฐานไม่ชัดเจน และการทำงานแข่งกับเวลาทำให้มีการรวบรัดไปบ้าง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เราก็ยังไม่สรุปสำนวนในการสั่งคดี เพราะในการสั่งคดีหากพนักงานสอบสวนสรุปแล้ว ต้องเสนอมายังผู้มีอำนาจสั่งคดี ส่วนโทษที่ว่าจะสั่งฟ้อง สั่งไม่ฟ้องอย่างไรก็เป็นไปตามระเบียบอยู่แล้ว” พล.ต.ท.สุชาติ กล่าว
สุดท้าย คดีเพลิงนรก “ซานติก้าผับ” จะออกมาอย่างไร คำพูดของนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.จะเชื่อถือได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นเพียงแค่ “ลมปาก” ที่ผ่านออกมาเป็นเสียงโดยไร้น้ำหนักไม่ต่างจากการผายลมเท่านั้น เรื่องนี้กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ข้อเท็จจริง!