“อธิบดีดีเอสไอ” พร้อมคณะลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ร่วมหาแนวทางปราบปรามผู้มีอิทธิพลในจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ร่วมกับ ผวจ.ภูเก็ต และตร.พื้นที่ พร้อมตรวจสอบที่ดินวัดกะทู้ หลังรับร้องเรียนมีกลุ่มนายทุนบุกรุกที่ธรณีสงฆ์อันเป็นสมบัติของวัดกะทู้ก่อสร้างคอนโดมิเนียม
วันนี้ (16 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย ผบ.สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.อภิรักษ์ หงส์ทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ณ ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เพื่อประชุมหารือวางแนวทางการปฏิบัติงานด้านสืบสวนสอบสวนร่วมกัน และกำหนดแนวทางการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ตามโครงการปราบปรามผู้มีอิทธิพล (ในจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน)
ต่อมาเวลา 11.00 น. อธิบดีดีเอสไอ พร้อมคณะ และพล.ต.ต.อภิรักษ์ ได้เดินทางเข้าพบ นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ร.ต.อมรโชติ สุจิรัตน์ กอ.รมน.กองทัพเรือภาค 3 ปฏิบัติหน้าที่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ฝ่ายความมั่นคง ณ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต เพื่อร่วมประชุมหารือและกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานป้องกันและปราบรามตามโครงการปราบปรามผู้มีอิทธิพลดีเอสไอ
จากนั้นในช่วงบ่ายคณะทั้งหมดจะเดินทางไปตรวจพื้นที่วัดกะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต หลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากเจ้าอาวาสวัดกะทู้ให้มาร้องทุกข์ต่อดีเอสไอว่ามีกลุ่มนายทุนเข้ามาบุกรุกที่ดินอันเป็นสมบัติของวัดกะทู้(ที่ธรณีสงฆ์) เนื้อที่ประมาณ 136 ไร่ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยกลุ่มนายทุนจะนำที่ดินดังกล่าวไปสร้างคอนโดมิเนียมและกำลังจะเกิดการก่อสร้างแล้ว ซึ่งอธิบดีดีเอสไอได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบและหาหลักฐานจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้
ทางด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ชาวจังหวัดภูเก็ตได้เข้ากล่าวโทษร้องทุกข์ให้ดีเอสไอตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพลบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินสาธารณะประโยชน์ใน จ.ภูเก็ต มากกว่า 10 จุด โดยที่ดินที่ถูกบุกรุกประกอบด้วย ที่ธรณีสงฆ์ ที่ดินติดชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน และมีการนำที่ดินไปขอออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ จากนั้นกลุ่มนายทุนได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินด้วยการก่อสร้างอาคารรีสอร์ทและที่พัก ในเบื้องต้นดีเอสไอได้ส่งพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อมูล ซึ่งการปฏิบัติงานของดีเอสไอจะทำควบคู่ไปกับการตรวจสอบความถูกต้องในการออกเอกสารสิทธิ์ในแต่ละแปลงของกรมที่ดิน หากการตรวจสอบของพนักงานสอบสวนพบหลักฐานในการกระทำความผิดจะดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ฐานบุกรุกเข้าครอบครองที่สาธารณะประโยชน์อันมิสามารถนำมาออกเป็นเอกสารสิทธิ์ได้ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ นอกจากนี้จะประสานให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ต่อไป